สารพัดคำถามที่พรั่งพรูออกมาจากใจของคนที่อยากพูดภาษาอังกฤษเก่งๆ แต่ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นตรงไหนดี เหมือนกับคนที่อยากจะปีนเขาสูงแต่ยังไม่รู้เลยว่าอุปกรณ์ที่จะปีนมีอะไรบ้าง ต้องใช้เวลาในการฝึกอย่างไรจึงจะพิชิตยอดเขาได้
การฝึกพูดภาษาอังกฤษเริ่มจากตรงไหนดี
เริ่มต้นที่ต้องอ้าปากครับ ครับบอกไม่ผิดหรอกครับ เหตุผลหนึ่งที่คนไทยส่วนใหญ่ยังพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยเก่งคือ ไม่กล้าพูด กลัวว่าพูดแล้วออกเสียงไม่ถูก กลัวเขาหัวเราะเยาะว่าสำเนียงไม่เหมือนเจ้าของภาษา
อยากจะบอกตรงนี้ว่า สำเนียงส่อภาษานั้นเป็นเรื่องจริงอย่างหนึ่งว่าเราเติบโตในดินแดนไหน เราก็จะได้สำเนียงของที่นั้นๆแหละครับ เวลาพูดอังกฤษเราก็ใช้สำเนียงไทยๆนี่แหละ เพียงแต่ออกเสียงให้มันถูกต้องแค่นั้นแหละ และการที่เราพูดผิดบ้างเล็กๆน้อยๆไม่ใช่ประเด็นสำคัญในการสนทนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการสนทนากับเจ้าของภาษา ถ้าเราสามารถสื่อสารให้เขาเข้าใจก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว และถ้ามีประโยคไหนที่เรารู้ว่าเราพูดผิดไปนะ มันก็จะเป็นครูสอนตัวเราเองว่า เออเมื่อกี้พูดผิดไปนี่นา คราต่อไปมันก็จะผิดน้อยลง และจะไม่ผิดเลยในที่สุด ส่วนเจ้าของภาษาเองเขาจะยินดีด้วยซ้ำที่เราสามารถสื่อสารกับเขาได้
อยากพูดภาษาอังกฤษเก่งๆต้องทำไง
ขอตอบว่าต้องฝึกครับ คำถามนี้อย่าว่าแต่การพูดภาษาอังกฤษเลย ทุกเรื่องนั่นแหละ มาดูตรรกะง่ายๆก่อนครับ
ด.ญ. เอ : ฉันอยากเก่ง >> แต่ฉันไม่ฝึก >> ความอยากยังอยู่ แต่ความเก่งความชำนาญไม่เกิด >> สรุปว่ายังอยู่ที่เดิม
ด.ญ. บี : ฉันอยากเก่ง >> ฉันฝึก >> ฉันชำนาญ >> อยากเก่งกว่านี้อีก >> ฝึกต่อ >> ฉันเชี่ยวชาญ >> อยากเก่งกว่านี้อีก >> ฝึกต่อ >> ฉันเป็นปรมาจารย์…..
มีกฎข้อหนึ่งที่ว่า ถ้าคุณฝึกฝนอะไรก็ตามผ่านพ้น 10,000 ชั่วโมงได้ คุณก็จะเชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆ อยากพูดภาษาอังกฤษเก่งๆก็ต้องฝึกสิครับ
วิธีการฝึกพูดก็ไม่ได้ยากอะไร เพียงแค่หาบทสนทนาภาษาอังกฤษฉบับง่ายๆ เน้นว่าฉบับง่ายๆไม่กี่ประโยคต่อหนึ่งสถานการณ์มาอ่าน แล้วก็ฝึกด้วยตัวเองนี่แหละก่อนเป็นเบื่้องต้น ให้เราคนเดียวเป็นทั้งนาย ก และนาย ข เลย เช่น
A: Hell, Jo. How are you today.
B: Fine, thanks. And you?
ฺA: I’m fine. Thank you.
บทสนทนาภาษาอังกฤษสำหรับผู้เรียนรู้เบื้องต้น คลิกที่นี่
เห็นไหมครับ แค่นี้เราก็พูดเป็นแล้ว ในเบื้องต้นก็ขอให้ฝึกแบบเป๊ะๆ ตามตัวอักษรก่อนก็ได้ ถ้าเราเริ่มชำนาญแล้ว เราก็จะดัดแปลงเป็นคำพูดในแบบอื่นๆได้เอง เชื่อสิ เราก็ทำการฝึกอย่างนี้แหละไปเรื่อยๆตามวงจรของ ด.ญ. บี ซึ่งให้ฝึกสนทนาที่เป็นบทนสนทนาในชีวิตประจำวันก่อน เช่น การทักทาย การกล่าวลา การถามชื่อ สกุล อาชีพ อะไรประมาณนี้ เพราะเวลาที่เราเจอกับฝรั่งและได้พูดคุยกัน ก็คุยเรื่องใกล้ๆตัวนี่แหละ ไม่ได้คุยเรื่องดาวอังคารซะที่ไหน
ทีนี้พอเราพูดได้ในหลายๆสถานการณ์ นั่นก็แปลว่าเราสามารถคุยได้หลายเรื่อง ซึ่งจะทำให้การสนทนาของเรายาวนานขึ้้น ไม่ใช่ What’s your name? แล้วก็จบแค่นี้ เพราะพูดได้แค่นี้
กว่าจะพูดได้ต้องใช้เวลาแค่ไหน
ตรงนี้ขอบอกว่าอยากให้ยึดถือความอยากเก่ง ด.ญ. บี เอาไว้ และทันทีที่เราเริ่มฝึกนั่นก็แปลว่าเราเริ่มพูดใด้แล้วสองสามประโยค หมายความว่าเรามีความรู้อยู่แค่นั้น และถ้าเราฝึกไปเรื่อยๆทุกๆวัน เราก็จะสามารถพูดประโยคอื่นๆได้เพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ
ขอสรุปว่า ทันทีที่คุณเริ่มฝึกฝน คุณก็สามารถพูดได้ ณ เวลานั้นเลย คุณๆคงเคยเห็นตำราเขียนว่า พูดอังกฤษ 79 ชั่วโมงบ้าง 100 ชั่วโมงบ้าง นั่นคื่อบทเรียนที่คุณสามารถเรียนรู้ได้ใน 79 ชั่วโมง แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณจะจำได้ทั้งหมดนั่นหรอก แต่หมายความว่าตอนนี้คุณชั่วโมงบินแล้ว 79 ชั่วโมง
ในความเป็นจริง คุณอาจจะใช้เวลาในการเรียนรู้ เพื่อทบทวนบทเรียนเดิมๆ ไม่รู้กี่เท่าของเวลาระบุไว้ในหนังสือกี่เท่าตัวนั้น ขึ้นอยู่กับระดับสติปัญญา และความจำส่วนบุคคลเป็นสำคัญ
ท้ายที่สุดอยากขอย้ำอีกทีว่า ถ้าอยากพูดภาษาอังกฤษได้ต้องอาศัยการเรียนรู้ อยากพูดได้คล่องต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ อย่าเอาเวลามาตัดสินว่าเท่านั้นเท่านี้ชั่วโมง ถ้าภาษาอังกฤษมีความสำคัญต่อชีวิตของคุณ คุณก็ต้องเรียนรู้มันตลอดชีวิตนั่นแหละ
EmoticonEmoticon