พลาดรถไฟขบวนไหนไปบ้าง ถ้าเราไม่เรียนภาษาอังกฤษตอนนี้



สกิลภาษาอังกฤษเป็นสิ่งที่ใครๆก็อยากได้อยากโดน เราจะไปหางานทำหรืออะไรมันก็ง่ายไปหมด ลองมาดูกันดีกว่า เราพลาดอะไรไปบ้างถ้ายังไม่เริ่มเรียนภาษาอังกฤษตอนนี้


7 เหตุผลว่าทำไมคุณควรเรียนอังกฤษเพื่อตามโลกให้ทัน


1. พลาดโอกาสการได้ตำแหน่งสูงๆ
2. หมดโอกาสคว้างานดีๆ เงินเดือนสูงๆ
3. พลาดโอกาสสื่อสารแลกเปลี่ยนมุมมองกับคนชาติอื่น
4. การรับรู้ข่าวสารจะยากขึ้น
5. ไม่ได้แฟนฝรั่ง (ฮ่าๆๆๆ)


เรียนภาษาอังกฤษง่ายๆ สบายๆที่บ้านคุณ


การเรียนภาษาอังกฤษเริ่มได้ง่ายๆที่บ้าน หากคุณต้องการเรียนให้เป็นไวหน่อยก็แค่อ่านเยอะหน่อย ฝึกเยอะหน่อย เชื่อผมเถอะว่าไม่มีอะไรที่เจ๋งไปกว่าความพยายามของตัวคุณเอง


8 สุดยอดโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษที่ราคาคุ้มเว่อร์…

สวัสดีค่ะ…น้องๆชาว SI-UK ทุกคนน วันนี้พี่วีวี่ก็มีเรื่องราวดีๆมาเล่าให้ฟังกันอีกแล้วนะคะ โดยวันนี้เราจะมานำเสนอถึง 8 โรงเรียนสอนภาษาอังกฤษที่ราคาสมเหตุสมผลม๊ากมากก ส่วนจะมีโรงเรียนไหนบ้างนั้น…เลื่อนลงไปดูกันได้เลยค่า


Oxford House Collage (OHC)
แค่ชื่อโรงเรียนนี่ก็การันตีคุณภาพได้แล้วนะคะคุ๊ณณ แถมหลักสูตรก็ยังได้รับการรับรองจาก British Council แล้วด้วย และนอกจากบรรยากาศสถานที่เรียนที่ฮอกวอตต์ (สวย ขลังและอลังกาล) มากๆแล้ว ราคาค่าเรียนของที่นี่ก็ยังอลังกาลดาวล้านดวงไม่แพ้กัน โดยคอร์สเรียนภาษาอังกฤษแบบ General English ระยะเวลา 24 สัปดาห์ จำนวน 1 คอร์ส ราคาจะอยู่ที่ 3,240 ปอนด์ หรือประมาณ 155,520 บาทเท่านั้น (ว้าวว!!) ซึ่งคอร์สเรียนของที่ Oxford House Collage ถือเป็นคอร์สเรียนภาษาอังกฤษเข้มข้นซึ่งได้รับความนิยมมากในหมู่นักเรียนชาวไทย สิ่งที่น้องๆจะได้รับจากการเรียนที่นี่คือคอร์สเรียนภาษาอังกฤษที่สามารถนำไปใช้ได้จริง และอาจารย์ผู้สอนที่มีประสบการณ์

ส่วนบรรยากาศของสถานที่เรียนยิ่งไม่ต้องพูดถึงเพราะสถานที่ตั้งของโรงเรียนทั้ง Oxford, London และ Stratford ล้วนแล้วแต่เป็นสถานที่ที่เอื้อต่อการเรียนทั้งสิ้น

Oxford Education Group (ISIS Education)
โรงเรียนสอนภาษาอังกฤษที่มีประสบการณ์การสอนกว่า 23 ปี Oxford Education Group หรือ ที่หลายๆคนอาจจะรู้จักกันในชื่อ ISIS Education ที่นี่มีคอร์สเด่นๆคือ คอร์สภาษาอังกฤษพื้นฐานและคอร์สภาษาอังกฤษฤดูร้อนเชิงธุรกิจ ที่ Oxford Education Group ยังมีบริการสำหรับนักเรียนต่างชาติโดยเฉพาะ น้องๆจึงมั่นใจได้เลยว่าจะได้รับการดูแลอย่างดีเยี่ยม (สบายหายห่วงง) ส่วนราคาคอร์สเรียนภาษาอังกฤษแบบ General Standard English Programme เวลา24 สัปดาห์ จำนวน 1 คอร์ส จะอยู่ที่ 3,521 ปอนด์ หรือประมาณ 169,008 บาทเท่านั้น (อื้มหืมม)

และแน่นอนว่าภาษาอังกฤษของทีนี้ได้รับการรับรองหลักสูตรจากทั้ง British Council รวมไปถึงมหาวิทยาลัยชื่อดังอีกหลายแห่ง ส่วนบรรยากาศและสถานที่เรียนต้องขอบอกเลยว่า Oxford Education Group มีที่ตั้งหลายแห่งมากก เลือกเมืองได้ตามใจชอบเลย

Embassy
อ่านจากชื่อไม่ใช่สถานทูตนะจ๊ะ แต่ที่นี่คือโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษที่ดังที่สุดแห่งหนึ่งเลยทีเดียว จุดเด่นของ Embassy คือ เป็นโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษที่นานาชาติมาก เพราะผ่านการสอนนักเรียนต่างชาติมาแล้วเกินกว่า 500,000 คน (OMG!!) ไม่ว่าจะเป็นภาษาอังกฤษสำหรับศึกษาต่อ ภาษาอังกฤษสำหรับการทำงาน หรือ ภาษาอังกฤษสำหรับใช้ในชีวิตประจำวัน ที่นี่ก็มีคอร์สที่เหมาะสำหรับน้องๆทุกคน สำหรับราคาคอร์สเรียนภาษาอังกฤษแบบ General English Standard เวลา 24 สัปดาห์ จำนวน 1 คอร์ส จะอยู่ที่ 3,870 ปอนด์ หรือประมาณ 185,760 บาท (OMGx2) เรียกได้ว่าเรียนภาษาอังกฤษถึงประเทศเจ้าของภาษาแบบคุ้มๆกันเลยทีเดียว

เรียนภาษาอังกฤษที่ไหนดี

สถานที่ตั้งของโรงเรียนก็ OMG อีกแล้วพราะตั้งอยู่ที่เมืองเคมบริดจ์ กับอาคารเรียนสไตล์เอ็ดเวิร์ดเดียนยุคใหม่ ซึ่งตั้งอยู่ในเขตสวยงามของเมืองใกล้กับแม่น้ำ ใช้เวลาเดินเพียงแค่ 20 นาทีเท่านั้น หรือน้องๆจะปั่นจักรยานเล่นๆเย็นๆใจมาเรียนก็ชิลล…ไม่แพ้กัน

St Giles International
โรงเรียนสอนภาษาอังกฤษที่ก่อตั้งมาแล้วกว่า 60 ปี โรงเรียนนี้พี่วีวี่ขอบอกเลยว่าไม่ธรรมดา เพราะ St Giles International เป็นหนึ่งในไม่กี่โรงเรียนที่มีหลักสูตร English for Special purpose เปิดสอน และหลักสูตรนี้ยังถือเป็นหนึ่งในหลักสูตรเด่นของโรงเรียนอีกด้วย นอกจากนั้น St Giles ยังมีหลักสูตรเริ่ดๆจนต้องบอกต่ออีก อย่าง General English และ Examination Courses  โดยราคาคอร์สเรียนภาษาอังกฤษแบบ General English เวลา 24 สัปดาห์ จำนวน 1 คอร์ส จะอยู่ที่ 4,248 ปอนด์ หรือประมาณ 203,904 บาท (Wow!) ซึ่งระยะ 6 เดือนนี้คอร์สภาษาอังกฤษของที่นี่จะช่วยให้ภาษาอังกฤษของน้องๆพัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเลย

สำหรับสถานที่ตั้งของโรงเรียนก็เรียบ หรู ดูดี วีว่า สุด อต่จะสุดขนาดไหนพี่วีวี่ก็มีรูปมาให้ลองพิจารณากันด้วยค่า ดูไปดูมานึกว่ากำลังเรียนอยู่ในโรงแรม 5 ดาว…อุ๊ปส์!

Concorde International
มาถึงโรงเรียนอันดับที่ 5 ของเรากันบ้าง กับ Concorde International ที่ชื่อโรงเรียนฟังละม้ายคล้ายชื่อโรงแรมหรูอยู่ไม่น้อย (อิอิ) และที่นี่ก็ไม่ได้มีดีแค่ชื่อนะจ๊ะเพราะมีเจ้าของเป็นถึง ป๊ะป๋าของ ออร์แลนโด้ บลูม (ที่หล่อมากก…เกี่ยว?) แค่นี้ก็การันตีความแซ่บได้แล้วเนอะ (ผิด!) แต่ที่แซ่บเว่อร์วังกว่าลูกชายเจ้าของก็นี่เลยคอร์สเรียนภาษาอังกฤษ General English Courses ที่เน้นการเรียนการสอนแบบเข้มข้นเน้นใช้งานจริง และที่สำหรับราคาก็เกร๋ๆอยู่ที่ 4,512 ปอนด์ หรือประมาณ 216,576 บาท สำหรับการเรียน 24 สัปดาห์ ที่น้องๆจะได้สัมผัสกับศูนย์การเรียนที่เพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก และอาจารย์ผู้สอนที่มีคุณภาพ

สถานที่ตั้งของ Concorde International ตั้งอยู่ที่ Canterbury กับบรรยากาศที่สุดแสนจะร่มรื่น ที่พี่วีวี่ของนำเสนอให้เป็นสถานที่เรียนที่เกร๋กู๊ดมากๆอันดับต้นๆของโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษเลยค่ะคุณขา…

Stafford House, School of English
โรงเรียนสอนภาษาอังกฤษที่มีเอกลักษณ์ในการให้บริการและหลักสูตรภาษาอังกฤษที่เนื้อหาแน่น สำหรับที่ Stafford House นักเรียนต่างชาติจะได้รับการดูแลโดยเฉพาะจากระบบการให้บริการแบบ Personal service ที่มาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย การสอนที่เป็นเลิศและตารางเรียนกับคอร์สเรียนที่ปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการ ที่ Stafford House หลักสูตรเด่นคือ Super Intensive English หลักสูตรสุดเข้มข้นสำหรับติวเข้มเพื่อใช้ภาษาอังกฤษสำหรับเรียนต่อหรือใช้ในการทำงาน ตีคู่มากับหลักสูตร General English ที่ได้รับความนิยมตลอดกาล กับราคาโดนใจที่4,560 ปอนด์/ 1 คอร์ส (24 สัปดาห์) หรือประมาณ 218,880 บาทเท่านั้น บอกได้คำเดียวว่าคุ้มสุดๆ

Stafford House ตั้งอยู่ในกรุงลอนดอน กับสถานที่เรียนกว้างขวางร่มรื่นเหมาะกับการ Take course ภาษาอังกฤษยามว่าง หรือการเรียนแบบมีเป้าหมายก็เหมาะอย่างยิ่งที่จะใช้สถานที่อันร่มรื่นไว้ทบทวนบทเรียน

London School of English
เดินทางมาถึงโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษในตำนานอย่าง London School of English โรงเรียนระดับพรีเมี่ยมที่มีชื่อเสียงโด่งดังติดอันดับต้นๆของประเทศ และมีประวัติการสอนที่ยาวนานเพราะก่อตั้งมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2455 นู้นน (Oh, WOW!) จึงถือได้ว่าเป็นโรงเรียนสอนภาอังกฤษที่เก่าแก่ที่สุด LSE โดดเด่นด้วยหลักสูตรภาษาอังกฤษที่ได้รับรองมาตรฐานจากหลายสถาบัน สำหรับหลักสูตรหลักและได้รับความนิยมอย่างอื้ออึงก็หนีไม่พ้นคอร์ส Intensive General English ที่ได้รับการการันตีว่าเข้มข้น ได้ผลและคุ้มค่าเรียนมากๆ ด้วยราคาต่อคอร์สระยะเวาลา 24 สัปดาห์ที่ 5,760 ปอนด์หรือประมาณ 276,480 บาท อื้อหือ…ราคานี้แต่ได้เรียนภาษาอังกฤษกับโรงเรียนที่เก่าแก่ที่สุดถึงประเทศเจ้าของภาษาอย่างอังกฤษ พี่วีวี่มิมีอะไรจะพูดเลยค่านอกจาก…คุ้มสุด!!

โรงเรียน London School of English มีที่ตั้งกระจายอยู่ทั่วกรุงลอนดอน มีที่ตั้งทั้งหมด 4 แห่งคือ Holland Park Gardens Centre, London Overground, Westcroft Square Centre และ Canterbury Square

Regent
มาถึงอันดับที่ 8 อันดับสุดท้ายกับ Regent หนึ่งในโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษที่เก่าที่สุดโรงเรียนหนึ่ง ก่อตั้งในปีค.ศ. 1964 ในชื่อ Regent London ที่นี่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญดังนั้นทุกหลักสูตรจึงมีการเรียนการสอนทั้งในและนอกโรงเรียน  Regent โดดเด่นในความเป็นระบบระเบียบและมีประสิทธิภาพของทั้งผู้เรียน ผู้สอนและเจ้าหน้าที่ เพื่อให้การเรียนรู้มีประสิทธิภาพที่สุด หลักสูตรเริ่ดเลอคือ Intensive General English แบบเข้มข้นด้วยคลาสขนาดเล็กที่ผู้เรียนจะได้รับการสอนที่คุ้มค่าที่สุด กับราคาต่อคอร์สระยะเวลา 24 สัปดาห์ที่ 7,680 ปอนด์ หรือประมาณ 368,640 บาท

สถานที่ตั้งของโรงเรียน Regent มีอยู่ด้วยกัน 5 แห่ง คือ London, Brighton, Cambridge, Edinburgh และ Oxford ซึ่งเมืองเหล่านี้ได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งการศึกษาของอังกฤษทั้งสิ้น

*ค่าเรียนคำนวณจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ GBP1=48 บาท

และสำหรับน้องๆคนไหนที่สนใจไปเรียนต่อคอร์สภาษาอังกฤษที่ประเทศเจ้าของภาษาอย่างอังกฤษ ก็สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.siuk-thailand.com/uk-study-info/summer-courses/

หรือน้องๆสามารถโทรเข้ามาขอคำแนะนำจากพี่ๆทีมงาน SI-UK ได้ฟรีที่ 02-260-6033 วันนี้พี่วีวี่ต้องลาไปก่อนแล้วนะจ๊ะ…บ๊ายบายย

นิยาย 9 เรื่องสุดเจ๋ง!! ที่จะช่วยพัฒนาทักษะในการเรียนภาษาอังกฤษของคุณได้

การอ่านถือว่าเป็นวิธีที่สนุกแถมยังได้ผลดีในการเรียนภาษาอังกฤษ เพราะว่านิยายจะช่วยอธิบายคำศัพท์ แล้วก็อธิบายถึงลักษณะและโครงสร้างของรูปแบบประโยคอีกด้วย ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นในขณะที่คุณกำลังเพลินเพลินกับการอ่านนิยายเล่มโปรดของคุณนั่นเอง


    สมัยนี้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ก็มีขนาดเล็กลงและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นมือถือ คอมพิวเตอร์ หรือแท็บเลต แถมการใช้งานอินเตอร์เน็ตถือว่าสะดวกสบายกว่าเมื่อก่อนมาก ทำให้สามารถที่จะอ่านนิยายผ่านมือถือ หรือแท็บเลตได้ง่ายๆ กันเลยทีเดียว เปรียบเสมือนการเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ไปในตัว ถ้าเราไม่รู้คำศัพท์คำไหนเวลาเราอ่าน เราก็แค่คลิ๊ก หรือค้นหาในเว็บไซต์ต่างๆ ก็จะเจอความหมายของมัน หรือแม้แต่มือถือบางเครื่องก็มี app dictionary เอาไว้ติดเครื่องก็ยิ่งทำให้สะดวกเข้าไปอีก สะดวกสบายอย่างงี้ คงไม่มีอะไรเป็นอุปสรรคต่อการเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ ด้วยการอ่านนิยายกันแล้วใช่มั๊ยล่ะ

    สาธยายกันมาตั้งนาน มาเข้าเรื่องกันดีกว่า เพื่อนๆ คงเห็นประโยชน์ของการอ่านนิยายภาษาอังกฤษกันแล้ว วันนี้เราเลยจะมาแนะนำนิยายภาษาอังกฤษน่าอ่านกัน เพื่อนๆ จะได้หาซื้อมาอ่านเวลาขึ้นรถเมล์ รถไฟฟ้า ระหว่างการไปทำงาน เพื่อช่วยพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของเพื่อนๆ

    1. The Wind in the Willows – Kenneth Grahame
    เรื่องนี้ถือว่าเป็นนิยายคลาสสิคที่เกิดขึ้นที่ชนบทของประเทศอังกฤษ เป็นนิยายที่เกี่ยวกับการผจญภัยของสัตว์ที่อาศัยอยู่ใกล้แม่น้ำ คนที่เขียนนิยายเรื่องนี้เขียนภาษาที่เราเข้าใจง่ายมาก ถึงแม้เราจะไม่เก่งภาษาอังกฤษก็สามารถเข้าใจและจินตนาการเรื่องราวได้ ทำให้สนุกสนานได้ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่

    2. Lord of the Flies – William Golding
    นิยายเรื่องนี้ถือว่าเป็น modern classic แล้วก็ฮิตมากในการใช้เป็นหนังสืออ่านนอกเวลาในโรงเรียนหลายๆ แห่งทั่วโลก
    เมื่อกลุ่มของเด็กชายถูกแยกจากกันบนเกาะแห่งทะเลทราย จะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาบ้างต้องไปติดตามอ่่านในนิยายเรื่องนี้  คนเขียนนิยายเรื่องนี้ใช้อารมณ์ในการพรรณานิยายเล่มนี้ออก ทำให้นิยายเล่มนี้เหมือนจะเป็นบทกวีซะมากกว่า ดังนั้นเล่มนี้จึงเป็นนิยายอีกหนึ่งเล่มที่น่าจะหามาอ่านกัน

    3. The Old Man and the Sea – Ernest Hemingway
    Ernest Hemingway เป็นนักเขียนอีกหนึ่งคน ที่เรารู้ดีว่าการเขียนของเขานั้นเข้าใจง่าย
อ่านง่าย มีการเขียนที่ไม่ซับซ้อน ใช้ประโยคสั้นๆ ทำให้เหมาะสำหรับการอ่านเพื่อพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ สำหรับคนที่ฝึกพูดภาษาอังกฤษหรือฝึกอ่านภาษาอังกฤษอยู่ และก็ใช้ในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในหลายๆ โรงเรียนอีกด้วย
    นิยายเล่มนี้เป็นเรื่องราวของนักตกปลาชาว Cuban กับการต่อสู้เพื่อล่าปลาทะเลขนาดใหญ่ที่มีชื่อเรียกว่า “marline”

เรียนภาษาอังกฤษด้วยตนเอง

    4. Animal Farm – George Orwell
    เป็นนิยายเชิงเปรียบเทียบ เปรียบเปรย ที่พูดถึงเรื่องราวของเหล่าสัตว์ที่ต่อต้านกับเจ้าของฟาร์ม  เป็นการเหน็บแนมยุคของ Stalin ใน Soviet Union โดยคนเขียนใช้ประโยคที่ง่ายต่อการเข้าใจ

    5. Tuesdays with Morrie – Mitch Albom
    เมื่อครั้งที่ Mitch Albom ได้เจอกับ Morrie Schwartz ซึ่งเคยเป็นศาสตราจารย์ของเขาในมหาวิทยาลัย เขาได้เรียนรู้คุณค่าของบทเรียนชีวิต และได้ถ่ายทอดให้กับผู้อ่านได้อย่างสนุกสนานลงในนิยายเล่มนี้

    6. High Fidelity – Nick Hornby
    เล่มนี้เป็นหนังสือที่คนชอบในเสียงดนตรีห้ามพลาด!! เป็นเรื่องราวสมัยใหม่ที่ไม่ค่อยสนใจการพรรณาซักเท่าไหร่ เพราะคนเขียนเค้าเขียนจากมุมมองของตัวละครหลักที่ชื่อว่า Rob ซึ่งเป็นคนอกหักที่อาศัยอยู่ในทางตอนเหนือของลอนดอน
    หนังสือเล่มนี้มีบทสนทนาที่สนุกสนาน ระหว่างตัวละครต่างๆ ทำให้หนังสือเล่มนี้น่าอ่าน

    7. The Giver – Lois Lowry
    คนเขียนหนังสือเล่มนี้ ใช้ประโยคสั้นๆ และหลักไวยกรณ์ที่ง่ายๆ ในการเขียนเรื่องราวในหนังสือเล่มนี้ โดยเป็นเรื่องราวของเด็กชายชื่อ Jonas และชุมชนของเขา

    8. Fantastic Mr Fox – Roald Dahl
    Roald Dahl เป็นหนึ่งในนักเขียนเรื่องราวสำหรับเด็กที่เก่งมาก อีกทั้งยังมีชื่อเสียงในหมู่ผู้ใหญ่ด้วย สำหรับคนที่เริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ เรียนภาษาอังกฤษ หรือฝึกพูดภาษาอังกฤษ การอ่านหนังสือภาษาอังกฤษสำหรับเด็กถือว่าเป็นวิธีที่ดีในการเริ่มต้นเลยหล่ะ ทั้งสนุกและได้เรียนรู้้ด้วย

    9. The Curious Incident of the Dog in the Night-Time – Mark Haddon
    เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการผจญภัยของเด็กหนุ่มที่มีความผิดปกติบางอย่าง เขามีชื่อว่า Christopher เมื่อค้นพบว่าตัวเองได้ฆ่าสุนัขของเพื่อนบ้าน เขาตัดสินใจที่จะค้นหาความจริงของเรื่องนี้ เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ลองหามาอ่านกันได้

    อย่า ลืมมาทดลองเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ ตัวต่อตัวกับชาวต่างชาติ ผ่านโปรแกรม Skype ง่ายๆ ได้ที่บ้านไม่ต้องเดินทางไปเรียนนอกบ้านให้เหนื่อย แถมสะดวกสบายเพราะสามารถเลือกครูสอนและเวลาเรียนเองได้ด้วย เลือกเรียนเวลาที่เราว่างได้สบายๆ แบบนี้มีที่นี่ที่เดียวค่ะ

    เพียงแค่สมัครสมาชิกก็สามารถทดลองเรียนฟรีได้เลยค่ะ ถ้าสมัครสมาชิกเสร็จแล้วก็สามารถ log in เข้าสู่ระบบ แล้วก็ทำการจองเวลาเรียนได้ที่เมนู "ตารางเรียน" เลยค่ะ

10 เว็บไซต์ เรียนฟรีแถมเก่งภาษาอังกฤษ!!

หลายๆคนลงทุนจ่ายเงินก้อนโตไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน หรือไปเรียนที่ต่างประเทศเพื่อพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ แต่จะดีกว่าไหมคะ ถ้าเราสามารถพัฒนาภาษาอังกฤษของเราทั้งฟัง พูด อ่าน เขียนได้ที่ประเทศไทยโดยไม่ต้องเสียเงินเป็นแสน เป็นล้าน! นอกจากได้เรียนฟัง พูด อ่าน เขียนแล้ว บางคนอาจจะยังได้เพื่อนดีๆจากต่างประเทศด้วยนะคะ มาดูกันดีกว่าว่ามีเว็บไซต์ดีๆอะไรบ้าง


1. TED.com เรื่องเล่าจากเหล่าคนดังระดับโลก

“ความรู้คู่แรงบันดาลใจ” เว็บไซต์ชื่อดังระดับโลกที่รวบรวมคลิปบรรยายของบุคคลที่มีชื่อเสียงก้องโลกไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น Bill Clinton อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ, Gordon Brown อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ, Sergey Brin และ Larry Page สองผู้ก่อตั้ง Google , Bill Gates อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารไมโครซอร์ฟ บุคคลที่รวยที่สุดในโลก และอาจารย์มหาวิทยาลัยชื่อดังเอาไว้มากมาย
         
ในส่วนเนื้อหาเราสามารถเลือกหัวเรื่องบรรยายที่สนใจได้ตามหมวดหมู่ เช่น การบรรยายมาใหม่
การบรรยายที่มีคนสนใจมากสุด หรือเรื่องที่กำลังได้รับความนิยมในสังคม และครอบคลุมไปถึงเรื่อง technology, design, business, science, และอื่นๆ อีกมากมาย
       
จุดเด่นของแต่ละคลิปนั้น คงช่วยแก้ปัญหาการฟังไม่ออกของผู้หัดฟังเริ่มแรกได้ดี เพราะแต่ละคลิปการบรรยายจะมีการใส่ซับไตเติลไว้ให้เลือก รวมถึงภาษาไทยก็มีเช่นกัน เหมาะสำหรับผู้ที่ยังฟังไม่คล่อง ตีความหมายไม่ถูก ก็สามารถเลือกซับไตเติลเพื่อเพิ่มความเข้าใจในเนื้อหาการบรรยายได้ เรียกได้ว่าไม่เพียงแต่ได้ทักษะการฟังเท่านั้น ยังได้แง่คิดดีๆ และปรัชญาการดำเนินชีวิต รวมถึงข้อคิดการใช้ชีวิตใหม่ๆ เพื่อนำมาปรับทัศนคติที่มีได้อีกด้วย      

เว็บเรียนภาษาอังกฤษ

2. เพิ่มทักษะการฟังด้วย elllo.org!!
       
elllo จะเน้นไปที่ทักษะการฟัง เราสามารถเลือกฟังสำเนียงการพูดจากผู้คนได้ทั่วโลกในหัวข้อที่แตกต่างกันออกไปเช่น กีฬา ท่องเที่ยว เกมส์ เป็นต้น โดยมีซับไตเติ้ลด้านล่าง อีกทั้งยังสามารถหาเพลงดีๆฟังหรือดูคลิปได้อีกด้วย
         
ข้อดี ของเว็บคือ มีคลิปเยอะมาก ข้อมูลเยอะมากให้เลือกฟัง แถมมีสคริปให้ด้วย เสียงมีคุณภาพบางส่วนมีการดาวโหลดได้ หรือมีคำถามให้ตอบด้วย


3. เน้นฝึกทักษะการเขียนที่ lang-8 lang-8.com
           
เว็บ community ที่เอาไว้ฝึก Writing ได้เป็นอย่างดี หลังจากที่เราได้ลงชื่อกับทางระบบแล้ว และเลือก native language ของเรา จากนั้นจึงไปเขียนparagraph ที่ write a new entry โดยอาจจะเป็น paragraph สั้นๆ หรือเป็นการบ้านจากโรงเรียนก็ได้ค่ะ หลังจาก publish แล้วก็จะมีเจ้าของภาษานั้นมาตรวจสอบการเขียนให้แก่เรา เช่นผิดคำไหน แก้ไขอย่างไรเป็นต้น
         
ซึ่งสามารถแก้ไขเป็นประโยคต่อประโยคและเสริมคอมเม้นท์ให้เหตุผลที่ต้องแก้ด้วย ในทางกลับกันเราก็สามารถไปช่วยแก้ไขให้กับคนอื่นได้เช่นกัน นอกจากจะได้พัฒนาทักษะการเขียนแล้วเราอาจจะได้เพื่อนเพิ่มจากเว็บนี้ด้วย โดยเว็บไซต์นี้มีเจ้าของภาษาใช้งานอยู่ถึง 190 ประเทศทั่วโลก
แถม เว็บตรวจสอบ spelling error, grammar suggestion และ style suggestion http://www.polishmywriting.com/


4. ฝึกภาษาผ่านทางจดหมาย! “Interpals.net"
           
Interpals.net เน้นไปที่การหาทางจดหมายเพื่อนชาวต่างชาติ ซึ่งจะส่งจดหมายกันเป็นทางอีเมล หรือจดหมายจริงๆที่เรียกว่า snail mailก็ได้ค่ะ ลักษณะการใช้งานคือเราจะต้องกรอกโปรไฟล์ แนะนำตัวคร่าวๆ และถ้าอยากมีเพื่อนทางจดหมายไปรษณีย์ก็เช็คที่ช่องrequest ว่า snail mail ค่ะ เพื่อให้เพื่อนที่ต้องการเขียนไปรษณีย์เหมือนกันติดต่อเรา หรือเราไปติดต่อเค้าก็ได้ค่ะ
           
อีกทั้งในเว็บไซต์ยังมีหัวข้อ “Language Exchange” ไว้เอาใจคนอยากแลกเปลี่ยนภาษาด้วย ซึ่งผู้ใช้งานสามารถค้นหา Partner ที่เป็นเจ้าของภาษาที่ตนสนใจ เพื่อที่จะได้ฝึกฝนและพัฒนาทักษะการเรียนรู้ของเรา ด้วยการคลิกเลือกช่องภาษาและระบุภาษาที่เราใช้สื่อสารอยู่ จากนั้นระบบจะทำการประมวลผลคู่หูที่ต้องการเรียนรู้ภาษาเราเช่นกัน และแสดงผลขึ้นมาให้ได้เลือกสนทนาด้วย ถือเป็นการเริ่มต้นเรียนรู้ภาษากันและกันที่น่าสนุกไม่น้อย


5. อัพเดทข่าว อัพเกรดสกิลคำศัพท์ต้อง BangkokPost.com
           
เว็บไซต์ฝึกภาษาอังกฤษของไทยเราบ้าง จากสำนักข่าวบางกอกโพสต์ BangkokPost.com ข้อดีของเว็บไซต์นี้คือ การได้เรียนรู้ภาษาอังกฤษผ่านข่าวสารต่างๆ ในบ้านเรา เป็นผลดีทำให้ผู้เรียนสามารถเข้าใจเนื้อหาของข่าวได้ดียิ่งขึ้น และสามารถเชื่อมโยงบริบทต่างๆ ของสังคมได้ด้วย
           
โดยในเว็บไซต์จะมีหมวดหมู่ให้เลือกตามความสนใจ เช่น หัวข้อ Easy News จะเป็นการนำข่าวมาเรียบเรียงโดยใช้คำศัพท์พื้นฐาน เหมาะสำหรับผู้เรียนระดับปานกลาง ส่วนหัวข้อ Really Easy News นั้นจะเป็นข่าวระดับง่าย ซึ่งในเนื้อหาจะมีการทำตัวหนาคำศัพท์ที่คาดว่าผู้อ่านจะไม่รู้ความหมายไว้ เมื่อนำเม้าส์ไปวางก็จะขึ้นความหมายของคำนั้นๆ พร้อมทั้งตอนท้ายของเว็บไซต์จะมีการสรุปความหมายของศัพท์ในเนื้อเรื่องที่น่าสนใจ พร้อมคำแปลเป็นภาษาไทยให้ด้วย


6.เรียนภาษาสำเนียงอังกฤษ กับสำนักข่าวชื่อดัง BBC.co.uk
             
เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้ว ว่า BBC เป็นอีกช่องทางหนึ่งสำหรับการฝึกภาษาอังกฤษ ที่ได้ทั้งไวยากรณ์ คำศัพท์ การออกเสียง เป็นต้น โดยเฉพาะคนที่ต้องการฝึกสำเนียงอังกฤษหรือBritish และเรายังสามารถทำแบบทดสอบได้อีกด้วย สิ่งที่น่าสนใจ คือ ไฟล์เสียงภาษาอังกฤษสั้นๆที่เรียกว่า 6 Minutes English ที่สามารถดาวน์โหลดมาในรูปแบบMP3 เพื่อฝึกฟังได้ง่ายๆอีกด้วย


7. Omegle เว็บแชทเพื่อฝึกสนทนาภาษาอังกฤษ
             
อีกหนึ่งเว็บแชทเพื่อฝึกภาษาอังกฤษอีกเว็บไซต์อย่าง Omegle.com  ต่างกับเว็บไซต์อื่นๆตรงที่ Omegle ใช้สำหรับฝึกภาษาอังกฤษอย่างเดียวเท่านั้น กล่าวคือมีเพื่อนจากหลากหลายประเทศมารวมตัวกันที่นี่เพื่อพูดคุยและเรียนรู้ภาษาอังกฤษ การแชทนี้จะทำได้ทั้งแบบพิมพ์แชทปกติ(ข้อความ) หรือเป็นวิดิโอก็ได้ จะมีการสุ่มคนที่ต้องการแชทเพื่อให้ได้คนที่มีลักษณะความชอบหรือความสนใจในเรื่องเหมือนๆกัน


8. คลังข้อสอบ examenglish.com
             
ตามชื่อเลย Exam English เป็นเว็บไซต์ที่ให้เราได้ทำข้อสอบต่างๆ ทั้ง TOEFL, CPE, KET รวมทั้งข้อสอบนานาชาติอย่าง ESL/EFL อีกด้วย เราจะสามารถทำข้อสอบและทดสอบระดับภาษาอังกฤษได้จากบททดสอบต่างๆ ทั้งบททดสอบทักษะด้านการอ่าน การฟัง ทดสอบแกรมม่า คำศัพท์ และการเขียนค่ะ


9. EngVid.com ห้องเรียนเสมือนจริง สอนฟรีไม่มีกั๊ก!
             
สำหรับเว็บไซต์เรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ EngVid.com คุณสมบัติพิเศษของเว็บนี้อยู่ตรงที่ผู้เรียนสามารถเลือกระดับความสามารถในการเรียนรู้ของตนเองได้ เช่น สำหรับผู้เริ่มต้น Beginner, ระดับปานกลาง Intermediate และระดับสูง Advance จึงไม่ต้องกังวลว่าจะเรียนเรื่องที่ยากเกินไป
             
EngVid.com ยังแยกเป็นหมวดหมู่ให้ง่ายต่อการเรียนรู้ เช่น หมวดภาษาอังกฤษเชิงธุรกิจ หมวดการพูด การอ่าน การเขียน หมวดวัฒนธรรมภาษา หมวดไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ หมวดคำสแลง และยังรวมไปถึงเทคนิคการทำข้อสอบวัดระดับอย่าง Toefl และ Toeic ด้วย โดยแต่ละคลิปจะมีอาจารย์ผู้สอนมาให้ความรู้และเทคนิคการใช้ภาษา ผ่านกระดานไวท์บอร์ด จึงทำให้ผู้เรียนออนไลน์มีความรู้สึกราวกับเรียนอยู่ในคลาสภาษาอังกฤษยังไงยังงั้น
             
หลังจากเรียนผ่านวีดีโอแล้ว ยังสามารถทำแบบฝึกหัดหลังเรียนได้อีกด้วย ทางเว็บไซต์จะมี
Quiz เล็กๆ ให้ทำเพื่อเพิ่มความเข้าใจต่อหัวเรื่องที่เรียนนั้นๆ โดยมีการเฉลยข้อที่ถูกต้องและให้คะแนนสำหรับการทำแบบทดสอบ และหากใครที่มีข้อสงสัยหรือไม่เข้าใจเนื้อหาที่เรียนแล้วล่ะก็ ทางเว็บไซต์ก็ยังเปิดโอกาสให้ผู้เรียนส่งข้อสงสัยผ่านทางอีเมล์เว็บอีกด้วยนะ


10. เรียนภาษากับแอป busuu.com
               
เป็นอีกเว็บไซต์หนึ่งที่สามารถเข้าไปเรียนภาษาอะไรก็ได้ โดย busuu การันตีตัวเองว่าเป็นนวัตกรรมชุมชน ออนไลน์สำหรับการเรียนภาษา ซึ่งก่อตั้งเพราะความผิดหวัง ในระบบการเรียนการสอนภาษาต่างประเทศในปัจจุบัน ที่ทั้งแพง ยาก และน่าเบื่อ
             
Busuu จะมีแบบทดสอบเตรียมไว้ให้ ไม่ว่าจะเป็นแบบทดสอบด้านการเขียน การฝึกฝนคำศัพท์ การอ่านทำความเข้าใจ เป็นต้น นอกจากการทำแบบทดสอบแล้ว เรายังสามารถเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ได้โดยการเข้าร่วมกลุ่มและแชทกับสมาชิกคนอื่นๆ


การเรียนผ่านเว็บไซต์เหล่านี้เป็นเป็นหนึ่งในวิธีการเรียนรู้ด้วยตัวเอง และต้องใช้ความพยายามมาก ทั้งความตั้งใจ สำคัญที่สุดคือมีความอดทน ฝึกฝน Keep clam practice makes perfect <3

คุณพอมีเวลาไหม Do you have some time?

อยากถามชาวต่างชาติว่า “คุณพอมีเวลาไหม?” จะถามยังไง


Do you have some time? คุณพอมีเวลาสักครู่ไหมคะ

Do you have a time? คุณพอมีเวลาสักนิดไหมคะ (รู้นะว่าไม่ค่อยว่าง แต่อยากคุยสักแพร๊บอ่ะฮร่ะ)

แต่ถ้ามีคนถามเธอว่า… Do you have the time?

เรียนภาษาอังกฤษ

อย่าได้ตอบเลยนะว่า “ฉันมีเวลาให้เธอจ้ะ มีไรว่ามา Yes, go ahead.” เพราะคำถามนี้หมายถึง “ตอนนี้กี่โมงแล้วคร้าาา”

เวลาตอบก็บอกเวลาไปเลยเช่น “It’s 9.30 am. อ๋อ ตอนนี้ 9 โมงครึ่งแล้วค่ะ”

แล้วถ้าเธอเจอประโยคนี้ล่ะ Do you have sometimes?

จะตอบได้ยังไงเนอะในเมื่อ sometimes แปลว่าบางที เจอแบบนี้แปลออกมาไม่ได้จีจีนะ

ฉะนั้นต้องใช้ some time แบบมีช่องว่างนะจ๊ะ

เรียนภาษาอังกฤษอย่างง่าย

แถมให้นิดนึง เวลาได้ยินใครพูดว่า “We had a time!” ไม่ได้แปลว่าเรามีเวลานะ

แต่แปลว่า “เราสนุกกันมั่กขร่ะ We had a lot of fun.”

รักเสมอ แม้เธอไม่สน

กิ๊กกั๊ก

แปลว่าอะไรกันนะ?

สำนวน (Idioms) หลายคำทำเรางงได้ไม่น้อย มีสำนวนนึงพางงชนิดที่ว่า หลงป่าหลงทะเลกันไปเลย สำนวนนั้นคือ “at sea”


สำนวน หรือ idiom “at sea” แปลให้ตรงตัวก็คือ “(ล่องเรือ) ในทะเล”

แต่ความหมายที่หลายคนไม่รู้อีกความหมายนึงคือ “สับสนงุนงง”

เรียนภาษาอังกฤษ

ใช่เลย!  “at sea” คำนี้หละที่แปลว่า “งง” คิดง่ายๆ ว่าถ้าเราลอยเท้งเต้งอยู่กลางทะเล เราจะรู้สึกสับสนงุนงงแค่ไหน

มาดูตัวอย่างกัน…

ความหมายที่ 1. (Sailing) on the sea:

I spent my whole week-off at sea. It was fantastic!

He is at sea! You can’t meet him until the end of this month.

ความหมายที่ 2.  (also all at sea) confused or unable to decide what to do:

Kikkuk was at sea over the maths problems.

เรียนอังกฤษออนไลน์

Reading jurisprudence theory leaves me feeling at sea.
เห็นมั้ยคะว่าคำง่ายๆ บางทีอาจมีหลายความหมายชนิดที่ทำให้เรา “งง” เป็นไก่ตาแตกเลยทีเดียว
เรื่องไหนเข้าใจยากก็ปล่อยไป ขอให้เข้าใจว่าเรารักเธอก็พอ
กิ๊กกั๊ก

English Magic พูดอังกฤษได้แน่ๆ แค่ 3 เดือน

หนังสือ English Magic พูดอังกฤษได้แน่ๆ แค่ 3 เดือน (English Magic) เรียนการพูดอย่างตรงจุด ไม่สะดุดเหมือนการฝึกแบบเดิมๆ เรียนรู้เร็ว พูดอังกฤษเก่งได้ภายใน 90 วัน ด้วยหลักการง่ายๆ 3ขั้น ฟัง จำ พูด คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าทักษะทางภาษาที่เราใช้บ่อยที่สุด คือการพูดและการฟัง แต่จะเรากลับไม่ค่อยมีโอกาสได้เรียนและได้ฝึกทั้งสองทักษะนี้มากนัก แล้วเราจะฝึกอย่างไรให้ถูกทาง มีเทคนิคอะไรไหมที่จะทำให้เราพูดภาษาอังกฤษได้คล่อง ค้นพบคำตอบได้ในเล่มนี้

เรียนภาษาอังกฤษ



คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าทักษะทางภาษาที่เราใช้บ่อยที่สุด คือการพูดและการฟัง แต่จะเรากลับไม่ค่อยมีโอกาสได้เรียนและได้ฝึกทั้งสองทักษะนี้มากนัก แล้วเราจะฝึกอย่างไรให้ถูกทาง มีเทคนิคอะไรไหมที่จะทำให้เราพูดภาษาอังกฤษได้คล่อง ค้นพบคำตอบได้ในเล่มนี้

เกี่ยวกับผู้เขียน

เกี่ยวกับผู้เขียน  ผู้เขียนมีประสบการณ์ในการสอนมากมายในประเทศจีนตั้งแต่ปี ค.ศ. 2004 ถึง 2010 โดยสอนทั้งในระดับมัธยม ในระดับมหาวิทยาลัย และในสถาบันฝึกอบรมอาชีพ รวมทั้งสอนในสถานที่ทำงานอีกด้วย ในระหว่างการสอนที่มหาวิทยาลัย เขาได้วิจัยเพื่อหาคำตอบให้กับคำถามที่ว่า “ทำไมผู้เรียนภาษาจำนวนมากจึงไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว”

เรียนภาษาอังกฤษภายใน 3 เดือน

สารบัญ

บทที่ 1 กฎในการเรียน
 บทที่ 2 การออกเสียงโดยใช้เทคนิค A-Z
บทที่ 3 “กุญแจ” หลักดอกที่ 1 คือการฟัง
บทที่ 4 ทฤษฎี “การมองภาพใหญ่”
บทที่ 5 ประโยคคืออะไร?
บทที่ 6 ทำความเข้าใจกับบทสนทนาทั่วไป
บทที่ 7 กุญแจสำคัญหลักดอกที่ 2 คือ การจำ
บทที่ 8 กุญแจหลักดอกที่ 3 คือ “การพูด”
บทที่ 9 การสื่อสารทางธุรกิจ

10 ประโยคภาษาอังกฤษโดนใจจากการ์ตูน Disney

วันนี้เรามาดูประโยคภาษาอังกฤษจากการ์ตูน Disney

1. A Dream is A Wish your Heart Makes – Cinderella

ประโยคที่สุดแสนจะเต็มไปด้วยพลังของความหวังนี้มาจากการ์ตูนเจ้าหญิงที่ทุกคนรู้จักดีอย่างเรื่องซินเดอเรลล่า เป็นประโยคที่ฟังดูแล้วช่างเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและไม่ท้อถอยจริงๆ นะคะ เพราะเจ้าประโยคนี้มีความหมายว่า “ความฝันนั้นคือคำอวยพรที่หัวใจของเราสร้างมันขึ้นได้” ดังนั้นมันไม่มีอะไรที่ไกลเกินฝันของเราแน่นอนค่ะ!

2. You should be Free to Make Your own Choice – Aladdin

คำพูดนี้ออกมาจากพ่อหนุ่มยาจกจากเมืองอาหรับนามว่า “อะลาดิน” ตอนที่เขาต้องการจะบอกกับเจ้าหญิงจัสมินผู้ที่โดนตีกรอบให้มาทั้งชีวิตว่า “เธอควรจะมีอิสระในการตัดสินใจ” ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคู่ครองหรือเส้นทางเดินชีวิตก็ตาม อาจจะฟังดูหัวดื้อเล็กๆ นะคะ แต่อย่าลืมนะว่าชีวิตเป็นของเรา ใช้ซะให้คุ้มเหมือนกับอะลาดินก็น่าจะดีนะคะ

3. Today’s Special Moment is Tomorrow’s Memories – Genie

เจ้ายักษ์ตัวฟ้าหน้าตาทะเล้นนี้ไม่ได้มีแค่ความตลกอย่างเดียวเท่านั้นนะคะ แต่เขายังเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของอะลาดินอีกด้วย บ่อยครั้งที่อะลาดินของเราก็เดินทางผิดพลาดแต่เขาก็ยังมีเจ้าจีนี่คอยอยู่เคียงข้างเสมอ และหนึ่งในประโยคที่น่าจดจำมากที่สุดของจีนี่นั้นก็คือประโยคนี้ที่แปลว่า “ช่วงเวลาที่แสนพิเศษวันนี้จะกลายเป็นความทรงจำของวันพรุ่งนี้เท่านั้น” นั่นก็คือเราควรจะทำทุกๆ วันให้เป็นวันที่แสนพิเศษเพื่อที่เราจะได้มีความทรงจำที่สวยงามด้วยยังไงล่ะคะ

4. Like so Many Things, It is not What is Outside, but What is Inside that Counts – Arabian

“เหมือนกับหลายๆ สิ่ง มันไม่เกี่ยวว่าภายนอกเป็นอะไรแต่สิ่งที่อยู่ภายในต่างหากล่ะ” คำพูดนี้พูดโดยชายชาวอาหรับผู้เป็นผู้เล่าเรื่องราวในเรื่องอะลาดิน โดยที่เขายกตัวอย่างจากตะเกียงเก่าๆ ที่ดูภายนอกแล้วนั้นแทบจะไม่มีค่าอะไรเลย แต่หากสิ่งที่อยู่ภายในนั้นกลับล้ำค่ายิ่งนักซึ่งนั่นก็คือยักษ์จีนี่นั่นเอง ซึ่งคำพูดนี้ก็ตรงกับอะลาดินด้วยเช่นกันนะคะ เพราะถึงแม้ว่าเขาจะเป็นเพียงเด็กหนุ่มยากจนแต่เขาก็มีจิตใจดีงามเหมือนกับ “เพชรในตม” เลยค่ะ

5. Hakuna Matata

คำนี้เป็นคำน่ารักที่น่าเอามาใช้ประจำใจเหมือนกันนะคะ ความหมายของมันก็คือ “จะกังวลทำไม ทิ้งมันไปก็สุขแล้ว” ประโยคนี้มาจากสองคู่หูพูมบ้าและทีโมนที่ให้กำลังใจเจ้าสิงโตน้อยซิมบ้าที่เพิ่งจะเจอปัญหาครอบครัวมาอย่างหนักว่าเขาไม่ควรจะจมอยู่กับปัญหานั้นนานๆ หากมันแก้ไม่ได้หรือไม่จำเป็นก็ปล่อยมันไปซะ คิดหนักไปก็เปล่าประโยชน์ จริงไหมล่ะ?



6. The Past can Hurt, but You can Either run from It or Learn from it – Lion King

ประโยคนี้ก็เป็นอีกหนึ่งมุมมองที่แตกต่างกันยามที่เรามีปัญหานะคะ สำหรับทีโมนกับพูมบ้านั้นการปล่อยปัญหาไปคงจะดีที่สุด แต่สำหรับเจ้าลิงเฒ่าบาบูนผู้มีอายุมากกว่ากลับมองปัญหานั้นแตกต่างกันไปว่า “อดีตอาจจะเจ็บปวด แต่เราเลือกได้ว่าจะหนีมันไปหรือเรียนรู้จากมัน” ในตอนที่ซิมบ้ายังเด็กเขาอาจจะปล่อยให้ทุกอย่างหายไปแบบ Hakuna Matata ได้ แต่ยามใดที่โตขึ้นคนเราก็ต้องเรียนรู้จากปัญหาและไม่ทำให้มันเกิดขึ้นซ้ำรอยนะ

7. The Flower that Blooms in Adversity is the Most Rare and Beautiful of All – Mulan

คนเป็นพ่อนั้นมักจะมีคำสอนมากมายมามอบให้กับคนเป็นลูกสาวเสมอ และเฒ่าตระกูลฮัวนั้นก็เช่นกัน เมื่อครั้งที่ลูกสาวของเขาพานพบกับความผิดหวังมาแทนที่เขาจะกล่าวตำหนิเธอเขากลับเปรียบเปรยมู่หลานว่าเธอนั้นเป็นเหมือน “ดอกท้อที่บานในยามที่ทุกอย่างกำลังเผชิญปัญหาย่อมหายากและสวยงามมากกว่าดอกท้อใดๆ” ซึ่งมันก็หมายความว่าคราวที่ฮัวมู่หลานนั้นจะแย้มกลีบบานนั้นยังมาไม่ถึง และเมื่อมันมาถึงเธอก็จะต้องเป็นดอกท้อที่งดงามที่สุดแน่นอน

8. My Duty is to My Heart – Mulan

ไม่ใช่ว่าคนเราจะเก่งไปเสียทุกเรื่อง แม้กระทั่งเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์ก็อาจจะต้องการคำปรึกษาจากองครักษ์ของเธอ เช่นเดียวกับองค์หญิงเหม่ยที่เอ่ยปากถามมู่หลานว่าเธอทำหน้าที่หลายๆ อย่างได้อย่างไร ทั้งเป็นคนรัก เป็นลูกสาวที่ดี และเป็นนักรบผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งมู่หลานก็ตอบกลับมาว่าถึงแม้ว่าเธอจะมีหลายหน้าที่ แต่ “หน้าที่นั้นจะต้องซื่อสัตย์กับใจ” เหมือนกับทุกครั้งที่เราออกไปทำงานหรือเรียนนะคะ หากเราได้ทำในสิ่งที่เรารัก ทุกอย่างก็จะดูมีความสุขขึ้นเยอะเชียวค่ะ

9. A True Hero isn’t Measured by the Size of His Strength, but by the Size of His Heart – Hercules

เรามักจะเห็นฮีโร่หรือยอดมนุษย์ตัวใหญ่ล่ำออกปราบเหล่าร้ายกันเป็นประจำในภาพยนตร์หรือการ์ตูน แต่ในชีวิตจริงนั้นอาจจะไม่มีเรื่องราวเหมือนในจอหนังเกิดขึ้น แต่มันก็ไม่ได้แปลว่าเราจะเป็นฮีโร่กันไม่ได้ เพราะเทพเจ้าซุสนั้นได้สอนลูกชายของเขาหรือเฮอร์คิวลีสเอาไว้ว่า “ฮีโร่ที่แท้จริงนั้นไม่ได้วัดจากขนาดความแข็งแกร่งของร่างกายแต่วัดจากหัวใจของเขาต่างหาก”

10. Some People are Worth for Melting – Frozen

ถ้าหากใครได้ดูการ์ตูนเรื่อง Frozen กันไปแล้วก็อาจจะรู้สึกว่าเจ้าตุ๊กตาหิมะโอลาฟนั้นช่างน่ารักน่าหยิกเสียจริง แต่รู้ไหมคะว่าเขาไม่ได้แค่น่ารักอย่างเดียวนะ เจ้าตุ๊กตาหิมะน้อยตัวนี้ยังมีจิตใจที่ยิ่งใหญ่มากๆ อีกด้วย เมื่อครั้งที่เขาต้องติดอยู่กับห้องกับอันนาเพียงสองคน เขาก็ยังยืนหยัดจะอยู่กับเธอที่ข้างกองไฟทั้งๆ ที่ตัวเองก็กำลังจะละลายลงไปช้าๆ แต่โอลาฟก็กลับบอกอันนาว่า “คนบางคนก็มีค่ามากพอให้ละลาย” นั่นคือเขาไม่คิดเลยว่าตัวเองจะเป็นอย่างไรขอแค่เพียงให้ได้อยู่กับเพื่อนในวันที่ลำบากก็เพียงเท่านั้น

คำศัพท์เกี่ยวกับการจราจร


วันนี้เรามาเรียนรู้คำศัพท์เกี่ยวกับการจราจรก่อนเถอะ 
ประเภทถนน

Frontage road
ทางขนาน

Freeway
ทางด่วน

Highway
ทางหลวง

Interstate
ทางด่วน/ทางด่วนระหว่างรัฐ

Loop
ทางเลี้ยวสำหรับกลับรถ

Parkway
ถนนกว้าง (มักมีต้นไม้อยู่ริมสองฝั่งถนน)

Ramp
ทางโค้ง/ทางลาด

Tollway
ถนนที่เก็บค่าผ่านทาง

Crossroad
ทางแยก/จุดที่ถนนมาตัดกัน

Intersection
ทางแยก/จุดที่ถนนมาตัดกัน

สัญญาณต่าง ๆ

Stop
หยุด

No left turn
ห้ามเลี้ยวซ้าย

No right turn
ห้ามเลี้ยวขวา

No U-turn
ห้ามกลับรถ

Right turn only
เลี้ยวขวาเท่านั้น

Do not enter
ห้ามเข้า

One way
วิ่งรถทางเดียว

Dead end
ทางตัน

Railroad crossing
ทางข้ามรถไฟ

School crossing
ทางข้ามหน้าโรงเรียน

Slippery when wet
ถนนลื่นเมื่อเปียก

Handicapped parking only
ที่จอดรถสำหรับผู้พิการเท่านั้น

A.AN,THE ในภาษาอังกฤษ ที่ต้องรู้!



เมื่อไหร่ที่เราใช้ A และ AN ?
‘A’ นั้นเอาไว้หน้าคำนามที่เป็นคำนามเอกพจน์ (singular noun) ที่เป็นนามนับได้ (countable noun) และขึ้นต้นด้วยพยัญชนะที่มีเสียงพยัญชนะ เช่น a book, a cat, a dog ฯลฯ โดยความหมายก็จะเป็นอย่างที่อธิบายไปข้างต้น คือไม่เฉพาะเจาะจง เป็นสิ่งทั่ว ๆ ไป

ส่วน ‘An’ นั้นเอาไว้นำหน้าคำนามที่เป็นคำนามเอกพจน์ (singular noun) ที่เป็นนามนับได้ (countable noun) แต่ต้องเป็นคำที่ขึ้นต้นด้วยเสียงสระ A, E, I, O, U หรือพยัญชนะที่ออกเสียงสระเท่านั้น อย่างเช่น An old book, an unreliable source เป็นต้น โดยที่ความหมายก็เหมือนกับการใช้ ‘A’ นั่นเอง
ถ้าอย่างนั้นแล้ว The มีไว้ทำอะไรล่ะ?

แน่นอนว่าเราเห็นคำว่า The บ่อยกว่าคำใด ๆ เวลาที่อ่านภาษาอังกฤษ ไม่มีทางที่เราจะไม่เจอสิ่งนี้ เนื่องจากคำว่า The นั้นมีคุณสมบัติพิเศษ เพราะเมื่อนำไปนำหน้าคำนามตัวไหน คำนามตัวนั้นก็จะมีความหมายเฉพาะเจาะจงขึ้นมาทันที เช่น ‘I need the boy’ (ฉันต้องการผู้ชายคนนั้น) ผู้ชายที่พูดถึงนี้ไม่ใช้ผู้ชายทั่ว ๆ ไปคนไหนก็ได้แบบ ‘I need a boy’ อีกต่อไปแล้ว ต้องเป็นผู้ชายที่ – ในสถานการณ์นั้น – ผู้พูดและผู้ฟังรับรู้ด้วยกันว่าเป็นคนไหน หรือว่าก่อนหน้านี้เคยมีการพูดถึงผู้ชายคนนี้มาก่อนแล้ว

แล้วเมื่อไหร่ถึงใช้ The ล่ะ?

ก่อนอื่น คำว่า The ใช้นำหน้าคำศัพท์ที่พยางค์หน้าออกเสียงได้ทั้งเสียงสระและเสียงพยัญชนะ แต่คำที่มีพยางค์แรกเป็นเสียงสระจะอ่านออกเสียง The ว่า ‘ดิ’ ส่วนคำที่ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะออกเสียงว่า ‘เดอะ’ ปรกติ หลักการใช้ Article ชนิดนี้ต้องนำคำนามที่ตั้งใจให้มีการชี้เฉพาะลงไป ซึ่งจะแบ่งได้แบบนี้

ใช้คำนามที่เป็น บุพบทวลี (prepositional phrase)
เช่น ‘The woman in red dress is walking.’ (ผู้หญิงที่อยู่ในชุดสีแดงกำลังเดินอยู่) ตรงนี้ชัดเจนว่าเราไม่ได้จะหมายถึงผู้หญิงทั่วไป แต่จะหมายถึงผู้หญิง “คนนั้น” ที่ใส่ “ชุดสีแดง” ดังนั้นต้องนำด้วย The

ใช้นำคำนามเมื่อมีการกล่าวถึงสิ่งนั้นเป็นครั้งที่สอง
เช่น ‘She own a car and a bike. The car is broken down today so she rides the bike to work.’ (เธอมีรถยนต์หนึ่งคนกับจักรยานหนึ่งคน วันนี้รถยนต์(คันนั้น)เสียเธอจึงขี่จักรยาน(คันนั้น)มาทำงาน)

ยังไงแล้วอย่าลืมนำไปใช้กันให้ถูกวิธีด้วยน่ะ 

คำอวยพรวันเกิดในภาษาอังกฤษที่ต้องรู้!!


วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องการอวยพรในภาษาอังกฤษกันว่าเป็นอย่างไรกันบ้าง ยังไงแล้วไปดูกันเลย 


คำอวยพรวันเกิดสำหรับเพื่อน

Happy Birthday! I hope you have a wonderful day with loads of love and surprises. May your birthday give you the best memories till the next one.
สุขสันต์วันเกิด ฉันขอให้วันนี้เป็นวันที่แสนสดใส เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและความประทับใจ ขอให้วันเกิดของเธอปีนี้เต็มไปด้วยเรื่องราวดีๆ จนถึงวันเกิดปีหน้าเลยนะ

You are the most special friend I know, and I’m so glad that I can call you my best friend. I hope you have the happiest birthday ever.
เธอคือเพื่อนที่แสนพิเศษที่ฉันรู้จัก และฉันดีใจมากๆ ทีเธอเป็นเพื่อนสนิทของฉัน ฉันขอให้เธอมีวันเกิดที่มีความสุขที่สุดตลอดไปนะ

I hope that your special day is full of fun, happiness and everything that you enjoy. Happy Birthday!
ฉันขอให้วันพิเศษของเธอนี้เต็มไปด้วยความร่าเริง ความสุขใจ และเปี่ยมล้นทุกสิ่งที่จะทำให้เธอสนุกสนานได้ สุขสันต์วันเกิดนะ !

I hope your joyous day filled with love and laughter. Happy Birthday!
ฉันขอให้วันแห่งความสุขของเธอเต็มไปด้วยความรักและเสียงหัวเราะนะ สุขสันต์วันเกิดจ้ะ!

คำอวยพรวันเกิดสำหรับคนรัก

I hope you have a magical day full of love and happiness! Happy Birthday, my sweetheart!
ฉันขอให้เธอมีวันที่แสนวิเศษ เปี่ยมล้นไปด้วยความรักและความสุข สุขสันต์วันเกิดนะที่รัก!

I love you and I want you to know how lucky I am to have you! Happy Birthday!
ฉันรักเธอและอยากให้เธอรู้ด้วยว่าฉันรู้สึกโชคดีแค่ไหนที่มีเธอ สุขสันต์วันเกิดนะ!

My heart for you will never break. My smile for you will never fade. My love for you will never end. I love you. Happy Birthday, my sweetheart!
หัวใจฉันที่ให้เธอจะไม่มีวันสลาย รอยยิ้มที่ฉันมอบให้เธอจะไม่มีวันหาย ความรักที่ฉันมีต่อเธอไม่มีวันเสื่อมคลาย ฉันรักเธอ สุขสันต์วันเกิดที่รัก

Happy Birthday to the person who means the most to me in this world. I hope your birthday wishes come true. Thanks for always being right by my side, sweetheart.
สุขสันต์วันเกิดแด่คนที่มีความหมายที่สุดในชีวิตฉัน ฉันขอให้เธอสมหวังในทุกสิ่ง ขอบคุณที่อยู่เคียงข้างกันมาตลอดนะที่รัก

You are my soul mate, my partner and most trusted friend. I can’t imagine how my life would be without you. On your birthday, I want to remind you of all the reasons why I love you.
เธอคือคู่ชีวิต, คู่คิด และเพื่อนที่แสนดีของฉัน ฉันไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าชีวิตฉันจะเป็นอย่างไรหากขาดเธอไป ในวันเกิดของเธอปีนี้ ฉันอยากจะย้ำให้เธอรู้ซึ้งถึงเหตุผลที่ฉันรักเธอ

All our memories together will never be taken away, no matter how old we get and how many birthdays pass by, I will always be here for you. Happy Birthday my love!
ความทรงจำของเราสองคนจะไม่มีวันจางหายไป ไม่ว่าเราจะแก่ขึ้นหรือวันเกิดเราจะผ่านไปอีกกี่ครั้ง ฉันก็จะอยู่ข้างเธอเสมอ สุขสันต์วันเกิดที่รักคำอวยพรวันเกิดสำหรับคนในครอบครัว

I am so glad that I have got your DNA, I love you is all I want to say. Happy Birthday!
ลูกดีใจที่ได้เกิดมาเป็นลูกของพ่อ ลูกรักพ่อและอยากจะบอกพ่อว่าสุขสันต์วันเกิดนะคะ/ครับ



Happy birthday to the best father ever. I remember when you held my hand across the street and taught me how to reach for the stars. You are my inspiration and my hero. I love you.
สุขสันต์วันเกิดแด่คุณพ่อผู้แสนดีที่สุด ลูกยังจำได้ดีถึงวันที่พ่อจูงมือลูกข้ามถนนและสอนลูกให้รู้จักไขว่คว้าหาความฝัน พ่อคือแรงบันดาลใจและเป็นฮีโร่ของลูกเสมอ ลูกรักพ่อค่ะ/ครับ

Dad, you were there for me from the day I was born. You are one of the most important people in my life and I love you with my whole heart. Happy birthday, Dad!
พ่อคอยอยู่เคียงข้างลูกตั้งแต่วันแรกที่ลืมตา และเป็นคนสำคัญในชีวิตของลูก ลูกรักพ่อสุดหัวใจ สุขสันต์วันเกิดค่ะ/ครับ พ่อ

No one else is as lucky as me, because I’ve got a mom as awesome as you.
เพราะว่าลูกมีแม่ที่แสนดีแบบนี้ ลูกจึงเป็นคนที่โชคดีที่สุด สุขสันต์วันเกิดนะคะ/ครับแม่

Mom, all your life, your prayers have always been for our happiness. Today, my prayer is for you. Happy Birthday!
ตลอดชีวิตของแม่มีแต่ปรารถนาให้ลูกมีความสุข แต่ในวันนี้ลูกจะของอธิษฐานให้แม่บ้างนะ สุขสันต์วันเกิดค่ะ/ครับแม่

Dear mom, no one can love me more, no one can understand me better. No one can inspire me more, no one can hug me tighter. Happy Birthday! I love you.
ไม่มีใครบนโลกใบนี้ที่จะรักและเข้าใจลูกได้มากขนาดนี้ ไม่มีใครในโลกใบนี้ที่จะเป็นแรงบันดาลใจและกอดลูกไว้แน่นแบบนี้ สุขสันต์วันเกิดนะคะ/ครับแม่ ลูกรักแม่นะ

You deserve a birthday that’s as amazing as you are! Happy Birthday to the World’s Best Sister!
เธอสมควรจะได้มีวันเกิดที่แสนพิเศษเหมือนอย่างที่เธอเป็น สุขสันต์วันเกิดแด่พี่สาวที่น่ารักที่สุดในโลก!

On my brother’s birthday I am making a wish, that we always remain inseparable like water and fish. Happy Birthday!
เนื่องในวันนี้เป็นวันเกิดของพี่ชาย ฉันของอธิษฐานให้เราทั้งคู่อยู่เคียงข้างกันไม่มีสิ่งใดพรากเราได้เหมือนน้ำกับปลา สุขสันต์วันเกิดนะพี่ชาย!

คำอวยพรสำหรับเจ้านาย

May you always have as much strength and courage to lead our team and, more importantly, a truly happy life. Happy birthday, boss!
ขอให้หัวหน้าเปี่ยมไปด้วยพลัง ความเข้มแข็งและกำลังใจในการทำงานเพื่อผลักดันทีมของเราให้ก้าวหน้า และที่สำคัญที่สุดขอให้หัวหน้ามีความสุขกับชีวิตมากๆ สุขสันต์วันเกิดค่ะ/ครับหัวหน้า

Wishing a perfect birthday to the perfect boss. May you have a perfect party and a perfect year ahead. Happy Birthday!
ขอให้วันเกิดของหัวหน้าในวันนี้เป็นวันเกิดที่แสนสมบูรณ์แบบ และขอให้งานเลี้ยงฉลองวันเกิดนี้มีแต่ความเพอร์เฟคต์ สนุกสนาน ตลอดจนขอให้ปีนี้เป็นปีที่ดี สุขสันต์วันเกิดค่ะ/ครับหัวหน้า

คำอวยพรวันเกิดแบบทั่วไป

Please remember that I love you. Wishing you a beautiful day. Happy Birthday!
รู้ไว้นะว่าฉันรักเธอ ขอให้เธอมีวันที่แสนวิเศษนะ สุขสันต์วันเกิดจ้ะ!

Happy Birthday! I hope all your birthday dreams and wishes come true.
สุขสันต์วันเกิดจ้ะ! ฉันขอให้ความปรารถนาและทุกสิ่งที่เธอหวังไว้เป็นจริงนะ

Please accept a hundred hugs, a hundred wishes and a hundred feelings of goodwill as a gift on your Birthday. Wishing you have an unprecedented good year ahead.
ขอมอบอ้อมกอด คำอวยพร และความปรารถนาดีอันเปี่ยมล้นเป็นของขวัญให้เธอในวันเกิดนี้นะ ขอให้ปีนี้เป็นปีที่ดี มีความสุขแบบไม่คาดฝันเลยนะ!

Whatever dream you’re dreaming, may each one of them come true. Whatever plans you’re making, may they all work out for you. Happy Birthday!
ไม่ว่าเธอจะปรารถนาสิ่งไหน ฉันขอให้คำปรารถนาของเธอแต่ละสิ่งเป็นจริงดั่งหวัง ไม่ว่าเธอจะวางแผนชีวิตไว้แบบไหน ฉันขอให้ทุกแผนนั้นประสบผลสำเร็จ สุขสันต์วันเกิดจ้ะ!

จากนี้ไปก็ไม่ต้องอวยพรแค่ Happy Birthday! May all your wishes come true. กันแล้วนะคะ จดจำคำอวยพรเหล่านี้ให้ดี แล้วนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับบุคคลและกาลเทศะนะคะ ☺

การสอบถามเรื่องสุขภาพในภาษาอังกฤษ (Asking about Health)


วันนี้มาเรียนรู้เกี่ยวกับบทสนทนา และศัพท์ในภาษาอังกฤษกัน 


คำถาม
Are you all right? เธอสบายดีหรือ

What’s the matter? เป็นอะไรครับ

What’s the matter with you? มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น (กับคุณ) หรือ

What happened? เกิดอะไรขึ้นหรือ

What are your symptoms? อาการของคุณเป็นอย่างไรบ้าง

Do you have a headache? คุณมีอาการปวดศีรษะไหม

Do you have fever/high temperature? ตัวร้อนหรือไข้ขึ้นไหม

How do you feel now? ตอนนี้คุณรู้สึกอย่างไร

Did you get hurt? คุณเจ็บหรือเปล่า

สำนวนอื่น ๆ

You look very well. คุณดูมีความสุขดีนะ

You don’t look well. เธอดูไม่สบายเลยนะ

You look (very) pale. เธอดูหน้าซีด (มาก)

I feel better./I’m getting better. ฉันรู้สึกดีขึ้นแล้ว

I feel sick. ฉันรู้สึกไม่สบาย

I am all right now. ตอนนี้ฉันสบายดี

I’m much better. ฉันดีขึ้นมากเลย

I have a headache/toothache. ฉันปวดหัว/ปวดฟัน

I have a stomachache/backache. ฉันปวดท้อง/ปวดหลัง

I have a sore eye/throat. ฉันเจ็บตา/เจ็บคอ

I have a cold. ฉันเป็นหวัด

I have a slight fever. ฉันเป็นไข้นิดหน่อย

I feel chilly/dizzy. ฉันรู้สึกหนาวสั่น/มึนหัว

I have a terrible cold. ฉันเป็นหวัดรุนแรงมาก

My leg hurts. เจ็บขา

I guess I’m just tired. ฉันคิดว่า ฉันแค่เหนื่อยเท่านั้น

It’s nothing. How come? ไม่มีอะไรหรอก ทำไมหรือ

You should stay in bed. เธอควรจะกลับไปนอนพักผ่อนดีกว่า

You should see a doctor. เธอควรจะไปนอนดีกว่า

You should take some medicines. เธอควรจะกินยาดีกว่า

It’s not serious. ไม่ร้ายแรงหรอก

หลักการใช้ few , a few และ little , a little

เคยงง เคยสับสนกันหรือเปล่าค่ะ ว่าเราควรจะใช้คำไหนดีระหว่าง few, a few, little และ a little ในเมื่อทุกคำก็ให้ความหมายเดียวกันหมดว่า เล็ก ๆ น้อย ๆ พอจะพูดจะเขียนทีไรเลือกใช้ไม่ถูกสักทีเลย ถ้าคุณก็เป็นคนหนึ่งที่กำลังสับสนอยู่หล่ะก็งั้นเรามาทำความเข้าใจไปพร้อม ๆ กันเลยนะคะ






เริ่มจาก few ก่อนนะคะ คำว่า few นั้นเราจะต้องใช้คู่กับคำนามนับได้ พหูพจน์ ค่ะ อย่าเพิ่งงงนะคะ นามนับได้ก็คือ สิ่งของที่เราสามารถนับจำนวนได้ แต่สิ่งของนั้นเป็นพหูพจน์ก็คือมีจำนวนเยอะมาก ๆ อย่างเช่น Few people has joined the event even we have already organized in the central of city. หมายความว่า “แทบจะไม่มีคนมาร่วมงานเลย แม้ว่าเราจะจัดงานในใจกลางเมืองแล้วนะเนี่ย”

หรือ Few ladies can go outside without make-up. หมายความว่า “แทบจะไม่มีผู้หญิงคนไหนออกไปข้างนอกโดยปราศจากเครื่องสำอางค์เลย” จากรูปประโยคทั้งสองนี้ เราจะเห็นว่า คำว่า few แปลว่า แทบจะไม่มี

แต่พอเราเติม a เข้าไปกลายเป็น a few ก็จะแปลว่า เล็กน้อยแต่ก็ยังพอมีอยู่บ้างนะคะ อย่างเช่น Only a few months ago she has already forgot what we have ever promised. หมายความว่า “เพียงแค่ผ่านไปไม่กี่เดือนเท่านั้น เธอก็ลืมแล้วว่าเราได้สัญญาอะไรกันไว้บ้าง”

หรือ A few of parking space cannot serve every cars especially during the prime time like this. หมายความว่า “ที่จอดรถเพียงเล็กน้อยไม่สามารถให้บริการรถทุก ๆ คัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาเร่งรีบอย่างนี้”

แต่ถ้าจะให้เห็นภาพความแตกต่างของ few และ a few ก็ต้องบอกว่า My brother has few friends. ก็คือ น้องชายของฉันแทบจะไม่มีเพื่อนเลย หรือ My brother has a few friends. หมายความว่า น้องชายของฉันมีเพื่อนน้อย ต่างกันชัดมั๊ยค่ะ

ส่วนคำว่า little นั้น จะใช้นำหน้านามนับไม่ได้เสมอค่ะ จำง่าย ๆ ว่า little ก็เหมือนกับ few แปลว่า แทบจะไม่มีเลย อย่างเช่น This year all the river have little water. หมายความว่า “ปีนี้แม่น้ำทุกสายแทบจะไม่มีน้ำเลย” ในประโยคนี้เราไม่ใช้ few เพราะเราน้ำเป็นนามนับไม่ได้ค่ะ

หรือ You have little money how you are dare to marry with my daughter. หมายความว่า “คุณแทบจะไม่มีเงินเลย คุณกล้าดีอย่างไรจะมาแต่งงานกับลูกสาวของฉัน” ส่วนคำว่า A little นั้นก็เหมือนกับ A few คือ มีเล็กน้อยค่ะ อย่างเช่น A little money that you have tried to collect for me is unable to value. หมายความว่า “เงินเพียงเล็กน้อยที่คุณได้พยายามสะสมมาให้ฉันนั้นไม่สามารถประเมินมูลค่าได้เลย”

หรือ When we are thirsty only a little of water you give, it could save my life. หมายความว่า “ในเวลาที่กระหายน้ำ แค่น้ำเพียงเล็กน้อยที่คุณให้ก็ช่วยชีวิตฉันไว้แล้ว”

คำว่า Wanna แปลว่าอะไร และ gonna, gotta แปลว่าอะไร

ผู้เขียนเป็นอีกคนหนึ่งที่ชื่นชอบคลั่งไคล้ศิลปินชื่อดังก้องโลกอย่างไมเคิล แจ็คสัน ผู้ที่ได้ฉายาว่าเป็น “King of Pop” ซึ่งมีหลายบทเพลงมากที่เป็นที่ชื่นชอบและโด่งดั่งไปทั่วโลก อีกเพลงหนึ่งที่ดังไม่แพ้ใครก็คือเพลง Wanna be starting something?



     ด้วยความที่สมัยยังเป็นเด็กเล็กๆ ดิคชันนารีที่เคยใช้นั้นเป็นฉบับภาษาอังกฤษและไม่ได้มีการบัญญัติความหมายของคำว่า wanna เอาไว้..แต่ด้วยความโชคดีที่มีญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่งซึ่งเรียนจบจากเมืองนอกและใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นนานหลายปีได้ให้ความกรุณาและความกระจ่างของความหมายคำว่า wanna ไว้ให้ได้เป็นความรู้ติดตัว

Wanna นั้น แท้จริงแล้วเป็นภาษาพูด มาจากคำว่า want to แต่เมื่อเราพูดคำว่า want to เร็วๆ เสียงจะเพี้ยนและกลายเป็น wanna นั่นเอง

เช่น เนื้อเพลงที่ได้ยกประโยคมาว่า “Wanna be starting something” ก็คือ “Want to be starting something” 2 ประโยคนี้ความหมายเดียวกัน เพียงแต่เขียนไม่เหมือนกันเพราะประโยคแรกเป็นภาษาพูด ส่วนประโยคถัดมา คือ ภาษาเขียน

เราไม่นิยมใช้คำว่า wanna ในภาษาเขียน หากเปรียบเทียบก็เหมือนกับศัพท์วัยรุ่นทั่วไปที่เราใช้ในภาษาไทย เช่น คำว่า จริงหรือ จะใช้ในภาษาเขียน เราจะไม่ใช้คำว่า จริงดิ ในภาษาเขียน

Wanna ยังสามารถได้เห็นและได้ยินทั่วไปในเนื้อเพลงต่างๆอีกมากมาย เช่น เพลงของ Jay C ในบทเพลง Forever Young ในเนื้อร้องที่ว่า “ Forever Young .. I wanna be forever young ..Do you really want to live forever .. forever and ever”

นอกจากคำว่า wanna แล้ว ยังมีคำว่า gonna และ gotta ที่เพื่อนๆยังเคยเห็นตามเนื้อเพลงต่างๆอีกเช่นเดียวกัน ซึ่งคำว่า gonna นั้น มาจากคำว่า “going to” ยกตัวอย่างประโยค เช่น “I’m gonna go to the market because i wanna buy some food” หมายความว่า “ฉันจะไปตลาดเพราะฉันอยากไปซื้ออาหารสักหน่อย”

ส่วนคำว่า gotta นั้นย่อมาจาก “I have got to…” แต่ภาษาพูดก็ใช้ประโยคสั้นๆว่า “I’ve gotta…” หรือบางคนอาจจะตัด Verb to have ออกไปจากเสียงเลยก็มีเช่นกัน เหลือแต่คำพูดสั้นๆว่า “I gotta…”

ตัวอย่างประโยค “I’ve gotta go to the school because I wanna be the excellent student” แปลว่า “ฉันต้องไปโรงเรียนทุกวันเพราะฉันอยากจะเป็นเด็กที่เรียนเก่ง”

การออกเสียงแบบนี้ก็แล้วแต่ความสะดวกหรือความเคยชินในการออกเสียงของแต่ละคนว่าจะพูดออกมาอย่างไร เพียงแต่ว่าการสื่อสารนั้นสามารถสื่อสารให้เข้าใจระหว่างกันได้ ก็ถือว่าเพียงพอและเป็นประโยชน์แล้ว หวังว่าเพื่อนๆจะสามารถนำคำว่า “wanna , gonna , gotta” ไปใช้ได้อย่างถูกต้องนะคะ

คำศัพท์เกี่ยวกับอวกาศ


วันนี้ เราจะมาเรียนรู้คำศัพท์เกี่ยวกับระบบสุริยะในภาษาอังกฤษกันว่ามีอะไรบ้างยังไงแล้วไปดูกันเลย 
1. Sun 


ดวงอาทิตย์


2. Moon 

ดวงจันทร์


3. Star 

ดาวฤกษ์


4. Space 

อวกาศ


5. Solar system 

ระบบสุริยจักรวาล


6. Planet 

ดาวเคราะห์


7. Asteroid 

ดาวเคราะห์น้อย


8. Comet 

ดาวหาง


9. Meteor 

ดาวตก


10. Constellation 

กลุ่มดาว


11. Satellite 

ดาวบริวาร


12. Mercury 

ดาวพุธ


13. Venus 

ดาวศุกร์


14. Earth 

โลก


15. Mars 

ดาวอังคาร


16. Jupiter 

ดาวพฤหัส


17. Saturn 

ดาวเสาร์


18. Uranus 

ดาวยูเรนัส


19. Neptune 

ดาวเนปจูน


20. Pluto 

ดาวพลูโต

เทคนิค ฝึกออกเสียงวิธีไหนดี ให้สำเนียงเหมือนฝรั่ง ?



1. อ่านทุกอย่างออกเสียงดังๆ

Read everything out loud
นอกจากจะช่วยให้จดจำประโยคที่ฝึกพูดนั้นด้วยแล้ว ยังทำให้เรามั่นใจที่จะออกเสียง จะทำอะไรก็ตาม ลองพยายามใช้ภาษาอังกฤษในการออกเสียง ไม่ว่าจะตอบโต้

2. เวลาดูหนัง หรือ คุยกับฝรั่ง ลองสังเกตปากและวิธีการพูดของเขา
Look while you listen
รูปปากมีอิทธิพลต่อเสียงที่ออกมา ลองสังเกตปากเวลาฝรั่งพูดดู

3. เรียนรู้จากโปรแกรมสอนการออกเสียง
Learn to love ASR (Advanced Speech Recognition software)
โปรแกรมออกเสียงช่วยแก้สำเนียงที่เราพูดผิดได้ และ สามารถบอกคุณได้ถึงการออกเสียงที่ถูกต้องของคำและประโยคนั้นๆ โดยที่ไม่ต้องถามชาวต่างชาติ สามารถลองฝึกได้ก่อนที่จะออกเสียงผิดต่อสาธารณะชน

4. ขอคำแนะนำจากอาจารย์ฝรั่ง
Take tips from your teacher
เมื่อเรียนภาษาอังกฤษ อาจารย์เป็นตัวช่วยที่ดีที่สุดที่เราต้องไม่ลังเลที่จะถาม และ ติดต่อกับอาจารย์อยู่เสมอเพื่อการพัฒนาทางภาษาอังกฤษที่ดี

5. ลองเรียนตัวต่อตัวกับอาจารย์
Try a Private Class
เรียนตัวต่อตัวนั้นมีประสิทธิผลมากสำหรับการเรียนพูดภาษาอังกฤษ อาจารย์สามารถจี้และให้การแนะนำได้อย่างใกล้ชิดรวมถึงสิ่งเล็กๆน้อยที่อาจทำให้เรามั่นใจและพูดได้เหมือนฝรั่งมากขึ้น

6. ฝึกพูดกับฝรั่งออนไลน์
Try online speaking
สื่อออนลไน์นั้นสามารถช่วยให้เราพูดภาษาอังกฤษได้ง่ายมากขึ้น ลองหาเพื่อนในอินเตอร์เน๊ต หรือ เรียนออนไลน์กับอาจารย์ชาวต่างชาติ แล้วพูดคุยผ่านอินเตอร์เน๊ต เราจะได้รู้ว่า เขารู้เรื่องในสิ่งที่เราพูดมาหรือไม่ ถ้าไม่ก็สามารถเรียนรู้และแก้ไขได้




ลองออกไปข้างนอกและใช้ประโยคเหล่านี้พูดคุยกับเพื่อนของคุณดูสิ
แล้วการเรียนภาษาอังกฤษจะสนุกยิ่งขึ้น ;)

เดือนในภาษาอังกฤษ

วันนี้เรามาเรียนรู้ภาษาอังกฤษง่ายๆ เกี่ยวกับเดือนกัน

เดือน Month

มกราคม January (แจน ยัวรี)

กุมภาพันธ์ February (เฟบ บรัวรี)

มีนาคม March (มาร์ช)

เมษายน April (เอ พริล)

พฤษภาคม May (เมย์)

มิถุนายน June (จูน)

กรกฎาคม July (จูไล)

สิงหาคม August (ออ กัสทฺ)

กันยายน September (เซพเทม เบอะ)

ตุลาคม October (ออคโทเบอะ)

พฤศจิกายน November (โนเวมเบอะ)

ธันวาคม December (ดีเซม เบอะ)


เดือนภาษาอังกฤษแบบย่อ


1. January                     : Jan.
2 . February                  : Feb.
3. March                        : Mar.
4. April                          : Apr.
5. May                          : May.
6. June                          : Jun.
7. July                           : Jul.
8. August                       : Aug.
9. September                 : Sep. or Sept.
10. October                   : Oct.
11. November                : Nov.
12. December                : Dec.

การถามทิศทาง (Asking for Direction)

     วันนี้เรามาเรียนรู้ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับการถามทิศทางกัน 



Excuse me. ขอโทษครับ (ใช้เริ่มก่อนการถาม)

Do you know where …… is? คุณรู้ไหมว่า ……. อยู่ที่ไหน

Do you know where Michael is? คุณรู้ไหมว่า ไมเคิลอยู่ที่ไหน

Do you know where the toilet is? คุณรู้ไหมว่าห้องน้ำอยู่ที่ไหน

Do you know the way to….? คุณรู้จักทางที่จะไป .. ไหม

Where is the nearest public telephone? โทรศัพท์สาธารณะใกล้ทีสุดอยู่ที่ไหน

How can I get to…..? ไม่ทราบว่าผมจะไป …. ได้อย่างไร

การบอกทิศทาง

Turn left. / Turn right. เลี้ยวซ้าย / เลี้ยวขวา

On the left. / On the right. ทางซ้าย / ทางขวา

Go straight. ตรงไปข้างหน้า

Go straight on./Go ahead. ตรงไปข้างหน้า

Go past. / Walk past. เดินผ่านไป

Keep going until you get to…. เดินไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึง…..

Take the first/second turn. เลี้ยวที่แยกแรก / แยกที่สอง

It’s near/close to ….. มันอยู่ใกล้กับ

It’s not far from here. ไม่ไกลจากที่นี่

It’s very far from here. มันไกลจากที่นี่มาก

It’s 5 kilometers from here. มันอยู่ห่างจากนี่ 5 กิโลเมตร

It’s about 500 meters away from here. มันอยู่ห่างจากที่นี่ประมาณ 500 เมตร

ตัวอย่าง ประโยคขอความช่วยเหลือ ในภาษาอังกฤษ

ในโลกยุคดิจิตัลปัจจุบันหรือที่เรารู้จักมักคุ้นกันดีว่ามันคือโลกแห่งการสื่อสาร มือถือเป็นอุปกรณ์ที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตของมนุษย์เราเป็นอย่างมาก เมื่อสมัยมือถือออกมาใหม่ๆ ผู้เขียนยังจำได้ค่ะ รูปทรงเทอะทะใหญ่เหมือนกับกระติกน้ำดื่ม แต่มองยังไงก็รู้สึกว่า “แหม ไอ้เครื่องโทรศัพท์นี้มันเท่ห์จัง หากเรามีไว้สักเครื่องคงจะดี”





การใช้งานมือถือในสมัยก่อนนั้น เป็นเพียงแค่การโทรออกและรับสาย คือใช้เพื่อการสื่อสารกันทางเสียงแค่เพียงอย่างเดียว หลังจากนั้นก็เริ่มพัฒนามาเป็นมือถือที่สามารถถ่ายรูปได้ , ดูโทรทัศน์ได้ จนมาถึงปัจจุบันที่มือถือสามารถใช้ในการติดต่อสื่อสารกันได้แบบเห็นหน้ากันทั้ง 2 ฝ่าย จนกระทั่งการใช้มือถือในการทำธุรกรรมทุกชนิด ดูแล้วชีวิตของเรานี่หมดไปกับการใช้มือถือได้ทั้งวันเลยล่ะ….และนี่คือที่มาของคำว่า สังคมก้มหน้า ที่แต่ละคนก็จะก้มมองหน้าจอมือถือของตนเอง ราวกับว่าโลกทั้งใบของเขาสามารถท่องเที่ยวได้ด้วยมือถือเครื่องเล็กๆบางๆเครื่องนั้นเพียงเครื่องเดียว

บนรถไฟฟ้าที่แน่นขนัด ผู้คนแออัดยัดเยียด เพราะต่างคนก็ต่างใช้เวลาของตนเพื่อไปถึงจุดหมายให้ทันเวลา และขณะที่ทุกคนกำลังก้มมองดูหน้าจอมือถือของตนอยู่ ก็มีเสียงๆหนึ่งดังขึ้นมาว่า

“Would you give me a hand?” แปลว่า คุณช่วยฉันหน่อยได้ไหมคะ

เมื่อเงยหน้าขึ้นมา ก็เห็นหญิงสาวเจ้าของเสียงหอบข้าวของพะรุงพะรังและท่าทางจะหนักเอาการอยู่ คือ ผู้ร้องขอความช่วยเหลือ … ตามนิสัยคนไทยแท้ เมื่อมีคนขอความช่วยเหลือเราก็ต้องรีบถามกลับทันทีว่า

“Could I help you please?” แปล ผมช่วยถือของให้คุณนะครับ

“Thank you so much” แปล ขอบคุณมากค่ะที่ให้ความช่วยเหลือ  คือประโยคที่เราควรรีบตอบกลับทันทีที่ได้รับความช่วยเหลือ

เราปฏิเสธไม่ได้เลยค่ะว่าการใช้ชีวิตประจำวันนี้อาจจะทำให้เรามองข้ามจุดเล็กๆหรือบางสิ่งบางอย่างที่ควรจะทำไปบ้าง แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เราได้ยินคำร้องขอจากผู้อื่น สิ่งที่เราควรทำเป็นอันดับแรก คือ การแสดงน้ำใจตอบทันทีที่ได้ยินการขอความช่วยเหลือ สิ่งเหล่านี้นอกจากจะทำให้ผู้ขอความช่วยเหลือรู้สึกประทับใจแล้ว มันยังเป็นจุดเล็กๆที่ช่วยต่อเติมหรือช่วยสร้างสังคมใหม่ๆอันดีงามให้เกิดขึ้น เราเป็นเพียงจุดเล็กแต่หากทุกคนได้เริ่มช่วยกันหยิบยื่น จุดเล็กเหล่านี้จะกลายเป็นจุดใหญ่และกลายเป็นสังคมที่น่าอยู่ในที่สุด ดังนั้น ทุกครั้งที่ได้ยินประโยค “Would you give me a hand”? ให้เรารีบเข้าช่วยเหลือและตอบเขาไปว่า “Of course” คำตอบที่มีคุณค่าของเพื่อนร่วมโลกและการอยู่ร่วมกัน