10 ประโยคภาษาอังกฤษโดนใจจากการ์ตูน Disney

วันนี้เรามาดูประโยคภาษาอังกฤษจากการ์ตูน Disney

1. A Dream is A Wish your Heart Makes – Cinderella

ประโยคที่สุดแสนจะเต็มไปด้วยพลังของความหวังนี้มาจากการ์ตูนเจ้าหญิงที่ทุกคนรู้จักดีอย่างเรื่องซินเดอเรลล่า เป็นประโยคที่ฟังดูแล้วช่างเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและไม่ท้อถอยจริงๆ นะคะ เพราะเจ้าประโยคนี้มีความหมายว่า “ความฝันนั้นคือคำอวยพรที่หัวใจของเราสร้างมันขึ้นได้” ดังนั้นมันไม่มีอะไรที่ไกลเกินฝันของเราแน่นอนค่ะ!

2. You should be Free to Make Your own Choice – Aladdin

คำพูดนี้ออกมาจากพ่อหนุ่มยาจกจากเมืองอาหรับนามว่า “อะลาดิน” ตอนที่เขาต้องการจะบอกกับเจ้าหญิงจัสมินผู้ที่โดนตีกรอบให้มาทั้งชีวิตว่า “เธอควรจะมีอิสระในการตัดสินใจ” ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคู่ครองหรือเส้นทางเดินชีวิตก็ตาม อาจจะฟังดูหัวดื้อเล็กๆ นะคะ แต่อย่าลืมนะว่าชีวิตเป็นของเรา ใช้ซะให้คุ้มเหมือนกับอะลาดินก็น่าจะดีนะคะ

3. Today’s Special Moment is Tomorrow’s Memories – Genie

เจ้ายักษ์ตัวฟ้าหน้าตาทะเล้นนี้ไม่ได้มีแค่ความตลกอย่างเดียวเท่านั้นนะคะ แต่เขายังเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของอะลาดินอีกด้วย บ่อยครั้งที่อะลาดินของเราก็เดินทางผิดพลาดแต่เขาก็ยังมีเจ้าจีนี่คอยอยู่เคียงข้างเสมอ และหนึ่งในประโยคที่น่าจดจำมากที่สุดของจีนี่นั้นก็คือประโยคนี้ที่แปลว่า “ช่วงเวลาที่แสนพิเศษวันนี้จะกลายเป็นความทรงจำของวันพรุ่งนี้เท่านั้น” นั่นก็คือเราควรจะทำทุกๆ วันให้เป็นวันที่แสนพิเศษเพื่อที่เราจะได้มีความทรงจำที่สวยงามด้วยยังไงล่ะคะ

4. Like so Many Things, It is not What is Outside, but What is Inside that Counts – Arabian

“เหมือนกับหลายๆ สิ่ง มันไม่เกี่ยวว่าภายนอกเป็นอะไรแต่สิ่งที่อยู่ภายในต่างหากล่ะ” คำพูดนี้พูดโดยชายชาวอาหรับผู้เป็นผู้เล่าเรื่องราวในเรื่องอะลาดิน โดยที่เขายกตัวอย่างจากตะเกียงเก่าๆ ที่ดูภายนอกแล้วนั้นแทบจะไม่มีค่าอะไรเลย แต่หากสิ่งที่อยู่ภายในนั้นกลับล้ำค่ายิ่งนักซึ่งนั่นก็คือยักษ์จีนี่นั่นเอง ซึ่งคำพูดนี้ก็ตรงกับอะลาดินด้วยเช่นกันนะคะ เพราะถึงแม้ว่าเขาจะเป็นเพียงเด็กหนุ่มยากจนแต่เขาก็มีจิตใจดีงามเหมือนกับ “เพชรในตม” เลยค่ะ

5. Hakuna Matata

คำนี้เป็นคำน่ารักที่น่าเอามาใช้ประจำใจเหมือนกันนะคะ ความหมายของมันก็คือ “จะกังวลทำไม ทิ้งมันไปก็สุขแล้ว” ประโยคนี้มาจากสองคู่หูพูมบ้าและทีโมนที่ให้กำลังใจเจ้าสิงโตน้อยซิมบ้าที่เพิ่งจะเจอปัญหาครอบครัวมาอย่างหนักว่าเขาไม่ควรจะจมอยู่กับปัญหานั้นนานๆ หากมันแก้ไม่ได้หรือไม่จำเป็นก็ปล่อยมันไปซะ คิดหนักไปก็เปล่าประโยชน์ จริงไหมล่ะ?



6. The Past can Hurt, but You can Either run from It or Learn from it – Lion King

ประโยคนี้ก็เป็นอีกหนึ่งมุมมองที่แตกต่างกันยามที่เรามีปัญหานะคะ สำหรับทีโมนกับพูมบ้านั้นการปล่อยปัญหาไปคงจะดีที่สุด แต่สำหรับเจ้าลิงเฒ่าบาบูนผู้มีอายุมากกว่ากลับมองปัญหานั้นแตกต่างกันไปว่า “อดีตอาจจะเจ็บปวด แต่เราเลือกได้ว่าจะหนีมันไปหรือเรียนรู้จากมัน” ในตอนที่ซิมบ้ายังเด็กเขาอาจจะปล่อยให้ทุกอย่างหายไปแบบ Hakuna Matata ได้ แต่ยามใดที่โตขึ้นคนเราก็ต้องเรียนรู้จากปัญหาและไม่ทำให้มันเกิดขึ้นซ้ำรอยนะ

7. The Flower that Blooms in Adversity is the Most Rare and Beautiful of All – Mulan

คนเป็นพ่อนั้นมักจะมีคำสอนมากมายมามอบให้กับคนเป็นลูกสาวเสมอ และเฒ่าตระกูลฮัวนั้นก็เช่นกัน เมื่อครั้งที่ลูกสาวของเขาพานพบกับความผิดหวังมาแทนที่เขาจะกล่าวตำหนิเธอเขากลับเปรียบเปรยมู่หลานว่าเธอนั้นเป็นเหมือน “ดอกท้อที่บานในยามที่ทุกอย่างกำลังเผชิญปัญหาย่อมหายากและสวยงามมากกว่าดอกท้อใดๆ” ซึ่งมันก็หมายความว่าคราวที่ฮัวมู่หลานนั้นจะแย้มกลีบบานนั้นยังมาไม่ถึง และเมื่อมันมาถึงเธอก็จะต้องเป็นดอกท้อที่งดงามที่สุดแน่นอน

8. My Duty is to My Heart – Mulan

ไม่ใช่ว่าคนเราจะเก่งไปเสียทุกเรื่อง แม้กระทั่งเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์ก็อาจจะต้องการคำปรึกษาจากองครักษ์ของเธอ เช่นเดียวกับองค์หญิงเหม่ยที่เอ่ยปากถามมู่หลานว่าเธอทำหน้าที่หลายๆ อย่างได้อย่างไร ทั้งเป็นคนรัก เป็นลูกสาวที่ดี และเป็นนักรบผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งมู่หลานก็ตอบกลับมาว่าถึงแม้ว่าเธอจะมีหลายหน้าที่ แต่ “หน้าที่นั้นจะต้องซื่อสัตย์กับใจ” เหมือนกับทุกครั้งที่เราออกไปทำงานหรือเรียนนะคะ หากเราได้ทำในสิ่งที่เรารัก ทุกอย่างก็จะดูมีความสุขขึ้นเยอะเชียวค่ะ

9. A True Hero isn’t Measured by the Size of His Strength, but by the Size of His Heart – Hercules

เรามักจะเห็นฮีโร่หรือยอดมนุษย์ตัวใหญ่ล่ำออกปราบเหล่าร้ายกันเป็นประจำในภาพยนตร์หรือการ์ตูน แต่ในชีวิตจริงนั้นอาจจะไม่มีเรื่องราวเหมือนในจอหนังเกิดขึ้น แต่มันก็ไม่ได้แปลว่าเราจะเป็นฮีโร่กันไม่ได้ เพราะเทพเจ้าซุสนั้นได้สอนลูกชายของเขาหรือเฮอร์คิวลีสเอาไว้ว่า “ฮีโร่ที่แท้จริงนั้นไม่ได้วัดจากขนาดความแข็งแกร่งของร่างกายแต่วัดจากหัวใจของเขาต่างหาก”

10. Some People are Worth for Melting – Frozen

ถ้าหากใครได้ดูการ์ตูนเรื่อง Frozen กันไปแล้วก็อาจจะรู้สึกว่าเจ้าตุ๊กตาหิมะโอลาฟนั้นช่างน่ารักน่าหยิกเสียจริง แต่รู้ไหมคะว่าเขาไม่ได้แค่น่ารักอย่างเดียวนะ เจ้าตุ๊กตาหิมะน้อยตัวนี้ยังมีจิตใจที่ยิ่งใหญ่มากๆ อีกด้วย เมื่อครั้งที่เขาต้องติดอยู่กับห้องกับอันนาเพียงสองคน เขาก็ยังยืนหยัดจะอยู่กับเธอที่ข้างกองไฟทั้งๆ ที่ตัวเองก็กำลังจะละลายลงไปช้าๆ แต่โอลาฟก็กลับบอกอันนาว่า “คนบางคนก็มีค่ามากพอให้ละลาย” นั่นคือเขาไม่คิดเลยว่าตัวเองจะเป็นอย่างไรขอแค่เพียงให้ได้อยู่กับเพื่อนในวันที่ลำบากก็เพียงเท่านั้น

คำศัพท์เกี่ยวกับการจราจร


วันนี้เรามาเรียนรู้คำศัพท์เกี่ยวกับการจราจรก่อนเถอะ 
ประเภทถนน

Frontage road
ทางขนาน

Freeway
ทางด่วน

Highway
ทางหลวง

Interstate
ทางด่วน/ทางด่วนระหว่างรัฐ

Loop
ทางเลี้ยวสำหรับกลับรถ

Parkway
ถนนกว้าง (มักมีต้นไม้อยู่ริมสองฝั่งถนน)

Ramp
ทางโค้ง/ทางลาด

Tollway
ถนนที่เก็บค่าผ่านทาง

Crossroad
ทางแยก/จุดที่ถนนมาตัดกัน

Intersection
ทางแยก/จุดที่ถนนมาตัดกัน

สัญญาณต่าง ๆ

Stop
หยุด

No left turn
ห้ามเลี้ยวซ้าย

No right turn
ห้ามเลี้ยวขวา

No U-turn
ห้ามกลับรถ

Right turn only
เลี้ยวขวาเท่านั้น

Do not enter
ห้ามเข้า

One way
วิ่งรถทางเดียว

Dead end
ทางตัน

Railroad crossing
ทางข้ามรถไฟ

School crossing
ทางข้ามหน้าโรงเรียน

Slippery when wet
ถนนลื่นเมื่อเปียก

Handicapped parking only
ที่จอดรถสำหรับผู้พิการเท่านั้น

A.AN,THE ในภาษาอังกฤษ ที่ต้องรู้!



เมื่อไหร่ที่เราใช้ A และ AN ?
‘A’ นั้นเอาไว้หน้าคำนามที่เป็นคำนามเอกพจน์ (singular noun) ที่เป็นนามนับได้ (countable noun) และขึ้นต้นด้วยพยัญชนะที่มีเสียงพยัญชนะ เช่น a book, a cat, a dog ฯลฯ โดยความหมายก็จะเป็นอย่างที่อธิบายไปข้างต้น คือไม่เฉพาะเจาะจง เป็นสิ่งทั่ว ๆ ไป

ส่วน ‘An’ นั้นเอาไว้นำหน้าคำนามที่เป็นคำนามเอกพจน์ (singular noun) ที่เป็นนามนับได้ (countable noun) แต่ต้องเป็นคำที่ขึ้นต้นด้วยเสียงสระ A, E, I, O, U หรือพยัญชนะที่ออกเสียงสระเท่านั้น อย่างเช่น An old book, an unreliable source เป็นต้น โดยที่ความหมายก็เหมือนกับการใช้ ‘A’ นั่นเอง
ถ้าอย่างนั้นแล้ว The มีไว้ทำอะไรล่ะ?

แน่นอนว่าเราเห็นคำว่า The บ่อยกว่าคำใด ๆ เวลาที่อ่านภาษาอังกฤษ ไม่มีทางที่เราจะไม่เจอสิ่งนี้ เนื่องจากคำว่า The นั้นมีคุณสมบัติพิเศษ เพราะเมื่อนำไปนำหน้าคำนามตัวไหน คำนามตัวนั้นก็จะมีความหมายเฉพาะเจาะจงขึ้นมาทันที เช่น ‘I need the boy’ (ฉันต้องการผู้ชายคนนั้น) ผู้ชายที่พูดถึงนี้ไม่ใช้ผู้ชายทั่ว ๆ ไปคนไหนก็ได้แบบ ‘I need a boy’ อีกต่อไปแล้ว ต้องเป็นผู้ชายที่ – ในสถานการณ์นั้น – ผู้พูดและผู้ฟังรับรู้ด้วยกันว่าเป็นคนไหน หรือว่าก่อนหน้านี้เคยมีการพูดถึงผู้ชายคนนี้มาก่อนแล้ว

แล้วเมื่อไหร่ถึงใช้ The ล่ะ?

ก่อนอื่น คำว่า The ใช้นำหน้าคำศัพท์ที่พยางค์หน้าออกเสียงได้ทั้งเสียงสระและเสียงพยัญชนะ แต่คำที่มีพยางค์แรกเป็นเสียงสระจะอ่านออกเสียง The ว่า ‘ดิ’ ส่วนคำที่ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะออกเสียงว่า ‘เดอะ’ ปรกติ หลักการใช้ Article ชนิดนี้ต้องนำคำนามที่ตั้งใจให้มีการชี้เฉพาะลงไป ซึ่งจะแบ่งได้แบบนี้

ใช้คำนามที่เป็น บุพบทวลี (prepositional phrase)
เช่น ‘The woman in red dress is walking.’ (ผู้หญิงที่อยู่ในชุดสีแดงกำลังเดินอยู่) ตรงนี้ชัดเจนว่าเราไม่ได้จะหมายถึงผู้หญิงทั่วไป แต่จะหมายถึงผู้หญิง “คนนั้น” ที่ใส่ “ชุดสีแดง” ดังนั้นต้องนำด้วย The

ใช้นำคำนามเมื่อมีการกล่าวถึงสิ่งนั้นเป็นครั้งที่สอง
เช่น ‘She own a car and a bike. The car is broken down today so she rides the bike to work.’ (เธอมีรถยนต์หนึ่งคนกับจักรยานหนึ่งคน วันนี้รถยนต์(คันนั้น)เสียเธอจึงขี่จักรยาน(คันนั้น)มาทำงาน)

ยังไงแล้วอย่าลืมนำไปใช้กันให้ถูกวิธีด้วยน่ะ 

คำอวยพรวันเกิดในภาษาอังกฤษที่ต้องรู้!!


วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องการอวยพรในภาษาอังกฤษกันว่าเป็นอย่างไรกันบ้าง ยังไงแล้วไปดูกันเลย 


คำอวยพรวันเกิดสำหรับเพื่อน

Happy Birthday! I hope you have a wonderful day with loads of love and surprises. May your birthday give you the best memories till the next one.
สุขสันต์วันเกิด ฉันขอให้วันนี้เป็นวันที่แสนสดใส เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและความประทับใจ ขอให้วันเกิดของเธอปีนี้เต็มไปด้วยเรื่องราวดีๆ จนถึงวันเกิดปีหน้าเลยนะ

You are the most special friend I know, and I’m so glad that I can call you my best friend. I hope you have the happiest birthday ever.
เธอคือเพื่อนที่แสนพิเศษที่ฉันรู้จัก และฉันดีใจมากๆ ทีเธอเป็นเพื่อนสนิทของฉัน ฉันขอให้เธอมีวันเกิดที่มีความสุขที่สุดตลอดไปนะ

I hope that your special day is full of fun, happiness and everything that you enjoy. Happy Birthday!
ฉันขอให้วันพิเศษของเธอนี้เต็มไปด้วยความร่าเริง ความสุขใจ และเปี่ยมล้นทุกสิ่งที่จะทำให้เธอสนุกสนานได้ สุขสันต์วันเกิดนะ !

I hope your joyous day filled with love and laughter. Happy Birthday!
ฉันขอให้วันแห่งความสุขของเธอเต็มไปด้วยความรักและเสียงหัวเราะนะ สุขสันต์วันเกิดจ้ะ!

คำอวยพรวันเกิดสำหรับคนรัก

I hope you have a magical day full of love and happiness! Happy Birthday, my sweetheart!
ฉันขอให้เธอมีวันที่แสนวิเศษ เปี่ยมล้นไปด้วยความรักและความสุข สุขสันต์วันเกิดนะที่รัก!

I love you and I want you to know how lucky I am to have you! Happy Birthday!
ฉันรักเธอและอยากให้เธอรู้ด้วยว่าฉันรู้สึกโชคดีแค่ไหนที่มีเธอ สุขสันต์วันเกิดนะ!

My heart for you will never break. My smile for you will never fade. My love for you will never end. I love you. Happy Birthday, my sweetheart!
หัวใจฉันที่ให้เธอจะไม่มีวันสลาย รอยยิ้มที่ฉันมอบให้เธอจะไม่มีวันหาย ความรักที่ฉันมีต่อเธอไม่มีวันเสื่อมคลาย ฉันรักเธอ สุขสันต์วันเกิดที่รัก

Happy Birthday to the person who means the most to me in this world. I hope your birthday wishes come true. Thanks for always being right by my side, sweetheart.
สุขสันต์วันเกิดแด่คนที่มีความหมายที่สุดในชีวิตฉัน ฉันขอให้เธอสมหวังในทุกสิ่ง ขอบคุณที่อยู่เคียงข้างกันมาตลอดนะที่รัก

You are my soul mate, my partner and most trusted friend. I can’t imagine how my life would be without you. On your birthday, I want to remind you of all the reasons why I love you.
เธอคือคู่ชีวิต, คู่คิด และเพื่อนที่แสนดีของฉัน ฉันไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าชีวิตฉันจะเป็นอย่างไรหากขาดเธอไป ในวันเกิดของเธอปีนี้ ฉันอยากจะย้ำให้เธอรู้ซึ้งถึงเหตุผลที่ฉันรักเธอ

All our memories together will never be taken away, no matter how old we get and how many birthdays pass by, I will always be here for you. Happy Birthday my love!
ความทรงจำของเราสองคนจะไม่มีวันจางหายไป ไม่ว่าเราจะแก่ขึ้นหรือวันเกิดเราจะผ่านไปอีกกี่ครั้ง ฉันก็จะอยู่ข้างเธอเสมอ สุขสันต์วันเกิดที่รักคำอวยพรวันเกิดสำหรับคนในครอบครัว

I am so glad that I have got your DNA, I love you is all I want to say. Happy Birthday!
ลูกดีใจที่ได้เกิดมาเป็นลูกของพ่อ ลูกรักพ่อและอยากจะบอกพ่อว่าสุขสันต์วันเกิดนะคะ/ครับ



Happy birthday to the best father ever. I remember when you held my hand across the street and taught me how to reach for the stars. You are my inspiration and my hero. I love you.
สุขสันต์วันเกิดแด่คุณพ่อผู้แสนดีที่สุด ลูกยังจำได้ดีถึงวันที่พ่อจูงมือลูกข้ามถนนและสอนลูกให้รู้จักไขว่คว้าหาความฝัน พ่อคือแรงบันดาลใจและเป็นฮีโร่ของลูกเสมอ ลูกรักพ่อค่ะ/ครับ

Dad, you were there for me from the day I was born. You are one of the most important people in my life and I love you with my whole heart. Happy birthday, Dad!
พ่อคอยอยู่เคียงข้างลูกตั้งแต่วันแรกที่ลืมตา และเป็นคนสำคัญในชีวิตของลูก ลูกรักพ่อสุดหัวใจ สุขสันต์วันเกิดค่ะ/ครับ พ่อ

No one else is as lucky as me, because I’ve got a mom as awesome as you.
เพราะว่าลูกมีแม่ที่แสนดีแบบนี้ ลูกจึงเป็นคนที่โชคดีที่สุด สุขสันต์วันเกิดนะคะ/ครับแม่

Mom, all your life, your prayers have always been for our happiness. Today, my prayer is for you. Happy Birthday!
ตลอดชีวิตของแม่มีแต่ปรารถนาให้ลูกมีความสุข แต่ในวันนี้ลูกจะของอธิษฐานให้แม่บ้างนะ สุขสันต์วันเกิดค่ะ/ครับแม่

Dear mom, no one can love me more, no one can understand me better. No one can inspire me more, no one can hug me tighter. Happy Birthday! I love you.
ไม่มีใครบนโลกใบนี้ที่จะรักและเข้าใจลูกได้มากขนาดนี้ ไม่มีใครในโลกใบนี้ที่จะเป็นแรงบันดาลใจและกอดลูกไว้แน่นแบบนี้ สุขสันต์วันเกิดนะคะ/ครับแม่ ลูกรักแม่นะ

You deserve a birthday that’s as amazing as you are! Happy Birthday to the World’s Best Sister!
เธอสมควรจะได้มีวันเกิดที่แสนพิเศษเหมือนอย่างที่เธอเป็น สุขสันต์วันเกิดแด่พี่สาวที่น่ารักที่สุดในโลก!

On my brother’s birthday I am making a wish, that we always remain inseparable like water and fish. Happy Birthday!
เนื่องในวันนี้เป็นวันเกิดของพี่ชาย ฉันของอธิษฐานให้เราทั้งคู่อยู่เคียงข้างกันไม่มีสิ่งใดพรากเราได้เหมือนน้ำกับปลา สุขสันต์วันเกิดนะพี่ชาย!

คำอวยพรสำหรับเจ้านาย

May you always have as much strength and courage to lead our team and, more importantly, a truly happy life. Happy birthday, boss!
ขอให้หัวหน้าเปี่ยมไปด้วยพลัง ความเข้มแข็งและกำลังใจในการทำงานเพื่อผลักดันทีมของเราให้ก้าวหน้า และที่สำคัญที่สุดขอให้หัวหน้ามีความสุขกับชีวิตมากๆ สุขสันต์วันเกิดค่ะ/ครับหัวหน้า

Wishing a perfect birthday to the perfect boss. May you have a perfect party and a perfect year ahead. Happy Birthday!
ขอให้วันเกิดของหัวหน้าในวันนี้เป็นวันเกิดที่แสนสมบูรณ์แบบ และขอให้งานเลี้ยงฉลองวันเกิดนี้มีแต่ความเพอร์เฟคต์ สนุกสนาน ตลอดจนขอให้ปีนี้เป็นปีที่ดี สุขสันต์วันเกิดค่ะ/ครับหัวหน้า

คำอวยพรวันเกิดแบบทั่วไป

Please remember that I love you. Wishing you a beautiful day. Happy Birthday!
รู้ไว้นะว่าฉันรักเธอ ขอให้เธอมีวันที่แสนวิเศษนะ สุขสันต์วันเกิดจ้ะ!

Happy Birthday! I hope all your birthday dreams and wishes come true.
สุขสันต์วันเกิดจ้ะ! ฉันขอให้ความปรารถนาและทุกสิ่งที่เธอหวังไว้เป็นจริงนะ

Please accept a hundred hugs, a hundred wishes and a hundred feelings of goodwill as a gift on your Birthday. Wishing you have an unprecedented good year ahead.
ขอมอบอ้อมกอด คำอวยพร และความปรารถนาดีอันเปี่ยมล้นเป็นของขวัญให้เธอในวันเกิดนี้นะ ขอให้ปีนี้เป็นปีที่ดี มีความสุขแบบไม่คาดฝันเลยนะ!

Whatever dream you’re dreaming, may each one of them come true. Whatever plans you’re making, may they all work out for you. Happy Birthday!
ไม่ว่าเธอจะปรารถนาสิ่งไหน ฉันขอให้คำปรารถนาของเธอแต่ละสิ่งเป็นจริงดั่งหวัง ไม่ว่าเธอจะวางแผนชีวิตไว้แบบไหน ฉันขอให้ทุกแผนนั้นประสบผลสำเร็จ สุขสันต์วันเกิดจ้ะ!

จากนี้ไปก็ไม่ต้องอวยพรแค่ Happy Birthday! May all your wishes come true. กันแล้วนะคะ จดจำคำอวยพรเหล่านี้ให้ดี แล้วนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับบุคคลและกาลเทศะนะคะ ☺

การสอบถามเรื่องสุขภาพในภาษาอังกฤษ (Asking about Health)


วันนี้มาเรียนรู้เกี่ยวกับบทสนทนา และศัพท์ในภาษาอังกฤษกัน 


คำถาม
Are you all right? เธอสบายดีหรือ

What’s the matter? เป็นอะไรครับ

What’s the matter with you? มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น (กับคุณ) หรือ

What happened? เกิดอะไรขึ้นหรือ

What are your symptoms? อาการของคุณเป็นอย่างไรบ้าง

Do you have a headache? คุณมีอาการปวดศีรษะไหม

Do you have fever/high temperature? ตัวร้อนหรือไข้ขึ้นไหม

How do you feel now? ตอนนี้คุณรู้สึกอย่างไร

Did you get hurt? คุณเจ็บหรือเปล่า

สำนวนอื่น ๆ

You look very well. คุณดูมีความสุขดีนะ

You don’t look well. เธอดูไม่สบายเลยนะ

You look (very) pale. เธอดูหน้าซีด (มาก)

I feel better./I’m getting better. ฉันรู้สึกดีขึ้นแล้ว

I feel sick. ฉันรู้สึกไม่สบาย

I am all right now. ตอนนี้ฉันสบายดี

I’m much better. ฉันดีขึ้นมากเลย

I have a headache/toothache. ฉันปวดหัว/ปวดฟัน

I have a stomachache/backache. ฉันปวดท้อง/ปวดหลัง

I have a sore eye/throat. ฉันเจ็บตา/เจ็บคอ

I have a cold. ฉันเป็นหวัด

I have a slight fever. ฉันเป็นไข้นิดหน่อย

I feel chilly/dizzy. ฉันรู้สึกหนาวสั่น/มึนหัว

I have a terrible cold. ฉันเป็นหวัดรุนแรงมาก

My leg hurts. เจ็บขา

I guess I’m just tired. ฉันคิดว่า ฉันแค่เหนื่อยเท่านั้น

It’s nothing. How come? ไม่มีอะไรหรอก ทำไมหรือ

You should stay in bed. เธอควรจะกลับไปนอนพักผ่อนดีกว่า

You should see a doctor. เธอควรจะไปนอนดีกว่า

You should take some medicines. เธอควรจะกินยาดีกว่า

It’s not serious. ไม่ร้ายแรงหรอก

หลักการใช้ few , a few และ little , a little

เคยงง เคยสับสนกันหรือเปล่าค่ะ ว่าเราควรจะใช้คำไหนดีระหว่าง few, a few, little และ a little ในเมื่อทุกคำก็ให้ความหมายเดียวกันหมดว่า เล็ก ๆ น้อย ๆ พอจะพูดจะเขียนทีไรเลือกใช้ไม่ถูกสักทีเลย ถ้าคุณก็เป็นคนหนึ่งที่กำลังสับสนอยู่หล่ะก็งั้นเรามาทำความเข้าใจไปพร้อม ๆ กันเลยนะคะ






เริ่มจาก few ก่อนนะคะ คำว่า few นั้นเราจะต้องใช้คู่กับคำนามนับได้ พหูพจน์ ค่ะ อย่าเพิ่งงงนะคะ นามนับได้ก็คือ สิ่งของที่เราสามารถนับจำนวนได้ แต่สิ่งของนั้นเป็นพหูพจน์ก็คือมีจำนวนเยอะมาก ๆ อย่างเช่น Few people has joined the event even we have already organized in the central of city. หมายความว่า “แทบจะไม่มีคนมาร่วมงานเลย แม้ว่าเราจะจัดงานในใจกลางเมืองแล้วนะเนี่ย”

หรือ Few ladies can go outside without make-up. หมายความว่า “แทบจะไม่มีผู้หญิงคนไหนออกไปข้างนอกโดยปราศจากเครื่องสำอางค์เลย” จากรูปประโยคทั้งสองนี้ เราจะเห็นว่า คำว่า few แปลว่า แทบจะไม่มี

แต่พอเราเติม a เข้าไปกลายเป็น a few ก็จะแปลว่า เล็กน้อยแต่ก็ยังพอมีอยู่บ้างนะคะ อย่างเช่น Only a few months ago she has already forgot what we have ever promised. หมายความว่า “เพียงแค่ผ่านไปไม่กี่เดือนเท่านั้น เธอก็ลืมแล้วว่าเราได้สัญญาอะไรกันไว้บ้าง”

หรือ A few of parking space cannot serve every cars especially during the prime time like this. หมายความว่า “ที่จอดรถเพียงเล็กน้อยไม่สามารถให้บริการรถทุก ๆ คัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาเร่งรีบอย่างนี้”

แต่ถ้าจะให้เห็นภาพความแตกต่างของ few และ a few ก็ต้องบอกว่า My brother has few friends. ก็คือ น้องชายของฉันแทบจะไม่มีเพื่อนเลย หรือ My brother has a few friends. หมายความว่า น้องชายของฉันมีเพื่อนน้อย ต่างกันชัดมั๊ยค่ะ

ส่วนคำว่า little นั้น จะใช้นำหน้านามนับไม่ได้เสมอค่ะ จำง่าย ๆ ว่า little ก็เหมือนกับ few แปลว่า แทบจะไม่มีเลย อย่างเช่น This year all the river have little water. หมายความว่า “ปีนี้แม่น้ำทุกสายแทบจะไม่มีน้ำเลย” ในประโยคนี้เราไม่ใช้ few เพราะเราน้ำเป็นนามนับไม่ได้ค่ะ

หรือ You have little money how you are dare to marry with my daughter. หมายความว่า “คุณแทบจะไม่มีเงินเลย คุณกล้าดีอย่างไรจะมาแต่งงานกับลูกสาวของฉัน” ส่วนคำว่า A little นั้นก็เหมือนกับ A few คือ มีเล็กน้อยค่ะ อย่างเช่น A little money that you have tried to collect for me is unable to value. หมายความว่า “เงินเพียงเล็กน้อยที่คุณได้พยายามสะสมมาให้ฉันนั้นไม่สามารถประเมินมูลค่าได้เลย”

หรือ When we are thirsty only a little of water you give, it could save my life. หมายความว่า “ในเวลาที่กระหายน้ำ แค่น้ำเพียงเล็กน้อยที่คุณให้ก็ช่วยชีวิตฉันไว้แล้ว”

คำว่า Wanna แปลว่าอะไร และ gonna, gotta แปลว่าอะไร

ผู้เขียนเป็นอีกคนหนึ่งที่ชื่นชอบคลั่งไคล้ศิลปินชื่อดังก้องโลกอย่างไมเคิล แจ็คสัน ผู้ที่ได้ฉายาว่าเป็น “King of Pop” ซึ่งมีหลายบทเพลงมากที่เป็นที่ชื่นชอบและโด่งดั่งไปทั่วโลก อีกเพลงหนึ่งที่ดังไม่แพ้ใครก็คือเพลง Wanna be starting something?



     ด้วยความที่สมัยยังเป็นเด็กเล็กๆ ดิคชันนารีที่เคยใช้นั้นเป็นฉบับภาษาอังกฤษและไม่ได้มีการบัญญัติความหมายของคำว่า wanna เอาไว้..แต่ด้วยความโชคดีที่มีญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่งซึ่งเรียนจบจากเมืองนอกและใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นนานหลายปีได้ให้ความกรุณาและความกระจ่างของความหมายคำว่า wanna ไว้ให้ได้เป็นความรู้ติดตัว

Wanna นั้น แท้จริงแล้วเป็นภาษาพูด มาจากคำว่า want to แต่เมื่อเราพูดคำว่า want to เร็วๆ เสียงจะเพี้ยนและกลายเป็น wanna นั่นเอง

เช่น เนื้อเพลงที่ได้ยกประโยคมาว่า “Wanna be starting something” ก็คือ “Want to be starting something” 2 ประโยคนี้ความหมายเดียวกัน เพียงแต่เขียนไม่เหมือนกันเพราะประโยคแรกเป็นภาษาพูด ส่วนประโยคถัดมา คือ ภาษาเขียน

เราไม่นิยมใช้คำว่า wanna ในภาษาเขียน หากเปรียบเทียบก็เหมือนกับศัพท์วัยรุ่นทั่วไปที่เราใช้ในภาษาไทย เช่น คำว่า จริงหรือ จะใช้ในภาษาเขียน เราจะไม่ใช้คำว่า จริงดิ ในภาษาเขียน

Wanna ยังสามารถได้เห็นและได้ยินทั่วไปในเนื้อเพลงต่างๆอีกมากมาย เช่น เพลงของ Jay C ในบทเพลง Forever Young ในเนื้อร้องที่ว่า “ Forever Young .. I wanna be forever young ..Do you really want to live forever .. forever and ever”

นอกจากคำว่า wanna แล้ว ยังมีคำว่า gonna และ gotta ที่เพื่อนๆยังเคยเห็นตามเนื้อเพลงต่างๆอีกเช่นเดียวกัน ซึ่งคำว่า gonna นั้น มาจากคำว่า “going to” ยกตัวอย่างประโยค เช่น “I’m gonna go to the market because i wanna buy some food” หมายความว่า “ฉันจะไปตลาดเพราะฉันอยากไปซื้ออาหารสักหน่อย”

ส่วนคำว่า gotta นั้นย่อมาจาก “I have got to…” แต่ภาษาพูดก็ใช้ประโยคสั้นๆว่า “I’ve gotta…” หรือบางคนอาจจะตัด Verb to have ออกไปจากเสียงเลยก็มีเช่นกัน เหลือแต่คำพูดสั้นๆว่า “I gotta…”

ตัวอย่างประโยค “I’ve gotta go to the school because I wanna be the excellent student” แปลว่า “ฉันต้องไปโรงเรียนทุกวันเพราะฉันอยากจะเป็นเด็กที่เรียนเก่ง”

การออกเสียงแบบนี้ก็แล้วแต่ความสะดวกหรือความเคยชินในการออกเสียงของแต่ละคนว่าจะพูดออกมาอย่างไร เพียงแต่ว่าการสื่อสารนั้นสามารถสื่อสารให้เข้าใจระหว่างกันได้ ก็ถือว่าเพียงพอและเป็นประโยชน์แล้ว หวังว่าเพื่อนๆจะสามารถนำคำว่า “wanna , gonna , gotta” ไปใช้ได้อย่างถูกต้องนะคะ

คำศัพท์เกี่ยวกับอวกาศ


วันนี้ เราจะมาเรียนรู้คำศัพท์เกี่ยวกับระบบสุริยะในภาษาอังกฤษกันว่ามีอะไรบ้างยังไงแล้วไปดูกันเลย 
1. Sun 


ดวงอาทิตย์


2. Moon 

ดวงจันทร์


3. Star 

ดาวฤกษ์


4. Space 

อวกาศ


5. Solar system 

ระบบสุริยจักรวาล


6. Planet 

ดาวเคราะห์


7. Asteroid 

ดาวเคราะห์น้อย


8. Comet 

ดาวหาง


9. Meteor 

ดาวตก


10. Constellation 

กลุ่มดาว


11. Satellite 

ดาวบริวาร


12. Mercury 

ดาวพุธ


13. Venus 

ดาวศุกร์


14. Earth 

โลก


15. Mars 

ดาวอังคาร


16. Jupiter 

ดาวพฤหัส


17. Saturn 

ดาวเสาร์


18. Uranus 

ดาวยูเรนัส


19. Neptune 

ดาวเนปจูน


20. Pluto 

ดาวพลูโต

เทคนิค ฝึกออกเสียงวิธีไหนดี ให้สำเนียงเหมือนฝรั่ง ?



1. อ่านทุกอย่างออกเสียงดังๆ

Read everything out loud
นอกจากจะช่วยให้จดจำประโยคที่ฝึกพูดนั้นด้วยแล้ว ยังทำให้เรามั่นใจที่จะออกเสียง จะทำอะไรก็ตาม ลองพยายามใช้ภาษาอังกฤษในการออกเสียง ไม่ว่าจะตอบโต้

2. เวลาดูหนัง หรือ คุยกับฝรั่ง ลองสังเกตปากและวิธีการพูดของเขา
Look while you listen
รูปปากมีอิทธิพลต่อเสียงที่ออกมา ลองสังเกตปากเวลาฝรั่งพูดดู

3. เรียนรู้จากโปรแกรมสอนการออกเสียง
Learn to love ASR (Advanced Speech Recognition software)
โปรแกรมออกเสียงช่วยแก้สำเนียงที่เราพูดผิดได้ และ สามารถบอกคุณได้ถึงการออกเสียงที่ถูกต้องของคำและประโยคนั้นๆ โดยที่ไม่ต้องถามชาวต่างชาติ สามารถลองฝึกได้ก่อนที่จะออกเสียงผิดต่อสาธารณะชน

4. ขอคำแนะนำจากอาจารย์ฝรั่ง
Take tips from your teacher
เมื่อเรียนภาษาอังกฤษ อาจารย์เป็นตัวช่วยที่ดีที่สุดที่เราต้องไม่ลังเลที่จะถาม และ ติดต่อกับอาจารย์อยู่เสมอเพื่อการพัฒนาทางภาษาอังกฤษที่ดี

5. ลองเรียนตัวต่อตัวกับอาจารย์
Try a Private Class
เรียนตัวต่อตัวนั้นมีประสิทธิผลมากสำหรับการเรียนพูดภาษาอังกฤษ อาจารย์สามารถจี้และให้การแนะนำได้อย่างใกล้ชิดรวมถึงสิ่งเล็กๆน้อยที่อาจทำให้เรามั่นใจและพูดได้เหมือนฝรั่งมากขึ้น

6. ฝึกพูดกับฝรั่งออนไลน์
Try online speaking
สื่อออนลไน์นั้นสามารถช่วยให้เราพูดภาษาอังกฤษได้ง่ายมากขึ้น ลองหาเพื่อนในอินเตอร์เน๊ต หรือ เรียนออนไลน์กับอาจารย์ชาวต่างชาติ แล้วพูดคุยผ่านอินเตอร์เน๊ต เราจะได้รู้ว่า เขารู้เรื่องในสิ่งที่เราพูดมาหรือไม่ ถ้าไม่ก็สามารถเรียนรู้และแก้ไขได้




ลองออกไปข้างนอกและใช้ประโยคเหล่านี้พูดคุยกับเพื่อนของคุณดูสิ
แล้วการเรียนภาษาอังกฤษจะสนุกยิ่งขึ้น ;)

เดือนในภาษาอังกฤษ

วันนี้เรามาเรียนรู้ภาษาอังกฤษง่ายๆ เกี่ยวกับเดือนกัน

เดือน Month

มกราคม January (แจน ยัวรี)

กุมภาพันธ์ February (เฟบ บรัวรี)

มีนาคม March (มาร์ช)

เมษายน April (เอ พริล)

พฤษภาคม May (เมย์)

มิถุนายน June (จูน)

กรกฎาคม July (จูไล)

สิงหาคม August (ออ กัสทฺ)

กันยายน September (เซพเทม เบอะ)

ตุลาคม October (ออคโทเบอะ)

พฤศจิกายน November (โนเวมเบอะ)

ธันวาคม December (ดีเซม เบอะ)


เดือนภาษาอังกฤษแบบย่อ


1. January                     : Jan.
2 . February                  : Feb.
3. March                        : Mar.
4. April                          : Apr.
5. May                          : May.
6. June                          : Jun.
7. July                           : Jul.
8. August                       : Aug.
9. September                 : Sep. or Sept.
10. October                   : Oct.
11. November                : Nov.
12. December                : Dec.

การถามทิศทาง (Asking for Direction)

     วันนี้เรามาเรียนรู้ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับการถามทิศทางกัน 



Excuse me. ขอโทษครับ (ใช้เริ่มก่อนการถาม)

Do you know where …… is? คุณรู้ไหมว่า ……. อยู่ที่ไหน

Do you know where Michael is? คุณรู้ไหมว่า ไมเคิลอยู่ที่ไหน

Do you know where the toilet is? คุณรู้ไหมว่าห้องน้ำอยู่ที่ไหน

Do you know the way to….? คุณรู้จักทางที่จะไป .. ไหม

Where is the nearest public telephone? โทรศัพท์สาธารณะใกล้ทีสุดอยู่ที่ไหน

How can I get to…..? ไม่ทราบว่าผมจะไป …. ได้อย่างไร

การบอกทิศทาง

Turn left. / Turn right. เลี้ยวซ้าย / เลี้ยวขวา

On the left. / On the right. ทางซ้าย / ทางขวา

Go straight. ตรงไปข้างหน้า

Go straight on./Go ahead. ตรงไปข้างหน้า

Go past. / Walk past. เดินผ่านไป

Keep going until you get to…. เดินไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึง…..

Take the first/second turn. เลี้ยวที่แยกแรก / แยกที่สอง

It’s near/close to ….. มันอยู่ใกล้กับ

It’s not far from here. ไม่ไกลจากที่นี่

It’s very far from here. มันไกลจากที่นี่มาก

It’s 5 kilometers from here. มันอยู่ห่างจากนี่ 5 กิโลเมตร

It’s about 500 meters away from here. มันอยู่ห่างจากที่นี่ประมาณ 500 เมตร

ตัวอย่าง ประโยคขอความช่วยเหลือ ในภาษาอังกฤษ

ในโลกยุคดิจิตัลปัจจุบันหรือที่เรารู้จักมักคุ้นกันดีว่ามันคือโลกแห่งการสื่อสาร มือถือเป็นอุปกรณ์ที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตของมนุษย์เราเป็นอย่างมาก เมื่อสมัยมือถือออกมาใหม่ๆ ผู้เขียนยังจำได้ค่ะ รูปทรงเทอะทะใหญ่เหมือนกับกระติกน้ำดื่ม แต่มองยังไงก็รู้สึกว่า “แหม ไอ้เครื่องโทรศัพท์นี้มันเท่ห์จัง หากเรามีไว้สักเครื่องคงจะดี”





การใช้งานมือถือในสมัยก่อนนั้น เป็นเพียงแค่การโทรออกและรับสาย คือใช้เพื่อการสื่อสารกันทางเสียงแค่เพียงอย่างเดียว หลังจากนั้นก็เริ่มพัฒนามาเป็นมือถือที่สามารถถ่ายรูปได้ , ดูโทรทัศน์ได้ จนมาถึงปัจจุบันที่มือถือสามารถใช้ในการติดต่อสื่อสารกันได้แบบเห็นหน้ากันทั้ง 2 ฝ่าย จนกระทั่งการใช้มือถือในการทำธุรกรรมทุกชนิด ดูแล้วชีวิตของเรานี่หมดไปกับการใช้มือถือได้ทั้งวันเลยล่ะ….และนี่คือที่มาของคำว่า สังคมก้มหน้า ที่แต่ละคนก็จะก้มมองหน้าจอมือถือของตนเอง ราวกับว่าโลกทั้งใบของเขาสามารถท่องเที่ยวได้ด้วยมือถือเครื่องเล็กๆบางๆเครื่องนั้นเพียงเครื่องเดียว

บนรถไฟฟ้าที่แน่นขนัด ผู้คนแออัดยัดเยียด เพราะต่างคนก็ต่างใช้เวลาของตนเพื่อไปถึงจุดหมายให้ทันเวลา และขณะที่ทุกคนกำลังก้มมองดูหน้าจอมือถือของตนอยู่ ก็มีเสียงๆหนึ่งดังขึ้นมาว่า

“Would you give me a hand?” แปลว่า คุณช่วยฉันหน่อยได้ไหมคะ

เมื่อเงยหน้าขึ้นมา ก็เห็นหญิงสาวเจ้าของเสียงหอบข้าวของพะรุงพะรังและท่าทางจะหนักเอาการอยู่ คือ ผู้ร้องขอความช่วยเหลือ … ตามนิสัยคนไทยแท้ เมื่อมีคนขอความช่วยเหลือเราก็ต้องรีบถามกลับทันทีว่า

“Could I help you please?” แปล ผมช่วยถือของให้คุณนะครับ

“Thank you so much” แปล ขอบคุณมากค่ะที่ให้ความช่วยเหลือ  คือประโยคที่เราควรรีบตอบกลับทันทีที่ได้รับความช่วยเหลือ

เราปฏิเสธไม่ได้เลยค่ะว่าการใช้ชีวิตประจำวันนี้อาจจะทำให้เรามองข้ามจุดเล็กๆหรือบางสิ่งบางอย่างที่ควรจะทำไปบ้าง แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เราได้ยินคำร้องขอจากผู้อื่น สิ่งที่เราควรทำเป็นอันดับแรก คือ การแสดงน้ำใจตอบทันทีที่ได้ยินการขอความช่วยเหลือ สิ่งเหล่านี้นอกจากจะทำให้ผู้ขอความช่วยเหลือรู้สึกประทับใจแล้ว มันยังเป็นจุดเล็กๆที่ช่วยต่อเติมหรือช่วยสร้างสังคมใหม่ๆอันดีงามให้เกิดขึ้น เราเป็นเพียงจุดเล็กแต่หากทุกคนได้เริ่มช่วยกันหยิบยื่น จุดเล็กเหล่านี้จะกลายเป็นจุดใหญ่และกลายเป็นสังคมที่น่าอยู่ในที่สุด ดังนั้น ทุกครั้งที่ได้ยินประโยค “Would you give me a hand”? ให้เรารีบเข้าช่วยเหลือและตอบเขาไปว่า “Of course” คำตอบที่มีคุณค่าของเพื่อนร่วมโลกและการอยู่ร่วมกัน

10 เทคนิควิธีพูดอังกฤษให้ไหลลื่น..สำเนียงเลิศ

 “อยากพูดอังกฤษให้เก่งต้องหัดพูด" แต่จะหัดพูดอย่างไรให้ได้ผล? หลายคนยังหาคำตอบไม่เจอว่าที่ผ่านมาฝึกกันอย่างถูกวิธีหรือยัง เพราะส่วนใหญ่คนที่พูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง มักประสบปัญหาคล้ายๆ กัน คือ เวลาที่ฝรั่งถามมา จะตอบได้แค่เพียงประโยคสั้นๆ อยากพูดยาวๆ แต่ก็พูดไม่ได้ ทั้งๆ ที่รู้ว่าภาษาไทยต้องตอบยังไง อยากจะพูดใจแทบขาด แต่ก็ตอบได้แบบตะกุก..ตะกัก ถามคำตอบคำ มันทำให้เราขาดความมั่นใจ ทั้งที่เราเก่งศัพท์ ท่องหลักไวยากรณ์มาแล้วเป็นเวลาหลายสิบปี แต่ก็ยังพูดไม่ได้อยู่ดีต้องทำยังไง? วันนี้ Life on campus มีสูตรเด็ดเคล็ดไม่ลับพูดอังกฤษอย่างไรให้ไฟแลบมาฝาก ไม่ต้องอ่า..ไม่ต้องเอ่อ..กันให้เสียเวลาไปฝึกพร้อมๆ กันเลย

     
       1. อย่ากลัวความผิดพลาดและกังวลกับหลักไวยากรณ์มากเกินไป
     
        ปัญหาใหญ่สำหรับคนที่กำลังหัดพูดภาษาอังกฤษ ที่ฝรั่งมักจะเรียกว่าเป็นอาการ “mental blocks” คือมีบางสิ่งในจิตใจที่ขัดขวางทำให้ไม่สามารถเข้าใจหรือทำอะไรบางอย่างได้ กลัวว่าจะพูดผิด อายถ้าพูดประโยคภาษาอังกฤษได้ไม่สมบูรณ์แบบและไม่ถูกต้องเป๊ะๆ ตามหลักไวยากรณ์ ที่ท่องกันเป็นนกแก้วนกขุนทอง ความกังวลเหล่านั้นจะทำให้คุณรู้สึกอึดอัดและพูดไม่ได้สักที จำเอาไว้ว่า “การสื่อสารเป็นเรื่องสำคัญมากกว่าความสมบูรณ์แบบ”
     
        ลองนึกภาพ คนๆ หนึ่งพูดว่า “Yesterday I go to party in beach.” ซึ่งประโยคนี้ผิดหลักไวยากรณ์แน่ๆ ที่ถูกต้องคือ “Yesterday I went to a party on the beach.” แต่ทั้งสองประโยคกลับสื่อสารได้ความเดียวกันว่า “เมื่อวานฉันไปปาร์ตี้ที่ชายหาดมา” ความผิดพลาดไม่ใช่สิ่งร้ายแรง ก็แค่ลองใหม่แก้ไขไปเรื่อยๆ หายใจเข้าลึกๆ อย่าอายถ้ามันจะผิดพลาดหรือไม่ถูกหลักไวยากรณ์นัก เพราะการสื่อสารให้เข้าใจกันเป็นสิ่งสำคัญที่สุดจำไว้
     
       2. เริ่มต้นจากการฟัง
     
        อยากพูดภาษาอังกฤษให้คล่องเราต้องเริ่มฟังกันก่อน ไม่ว่าจะเป็นบทสนทนาภาษาอังกฤษ หรือจะดูหนัง ฟังเพลง เลือกแบบที่เราชอบได้เลย สำหรับคนที่ไม่มีพื้นฐานภาษาอังกฤษเลยควรเริ่มจากการฟังบทสนทนาง่ายๆ ก่อน จะช่วยให้เราคุ้นเคยกับสำเนียงของเจ้าของภาษา และยังได้เรียนรู้ศัพท์ภาษาอังกฤษที่ใช้ในการพูดทั่วๆ ไปด้วย ต่างจากการดูหนัง หรือฟังเพลงภาษาอังกฤษ เพราะอาจจะมีการใช้คำยากๆ ซึ่งสำหรับคนที่ไม่มีพื้นฐานมาดีพอ แทนที่จะได้ฝึกการฟังกลับต้องมาคอยเปิด Dictionary ตีความหมายแทน
     
        เคล็ดลับในการฟังให้ได้ผลก็คือ “ฟังอย่างเข้าใจ และฟังอย่างต่อเนื่อง” เข้าใจคือเลือกฟังอะไรที่ง่ายไม่ยากเกินไป อย่างเช่น ข่าวภาษาอังกฤษที่ทั้งยากและเร็ว ฟังกี่ปีกี่ชาติก็ไม่มีวันเข้าใจ ฟังมากแค่ไหนก็ไม่ช่วยอะไร ดังนั้นเลือกง่ายๆ เข้าไว้แล้วค่อยพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ จะดีกว่า และฟังอย่างต่อเนื่อง วันละ 1-2 ชั่วโมง สามารถแบ่งเป็นเช้า 20 นาที เที่ยง 20 นาที และเย็นอีก 20 นาที ก็ได้ ตามสะดวกแต่เน้นว่าต้องฟังทุกวัน ห้ามวันเว้นวันโดยเด็ดขาด แล้วคุณจะเห็นผลที่ตามมาในมีกี่สัปดาห์ คอนเฟิร์ม!!!
     
       3. ฟังแล้วตอบ
     
        การฟังเพื่อให้เราเข้าใจภาษาอังกฤษได้มีประสิทธิภาพและสามารถโต้ตอบได้ ไม่ใช่ฟังซ้ำๆ หลายๆ ครั้ง เพื่อให้จำเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการ “ฟังและตอบคำถาม” ในขั้นตอนแรกของการฝึกพูดภาษาอังกฤษให้ดี นั่นคือ การฟังจากบทสนทนาภาษาอังกฤษง่ายๆ เมื่อเราฟังแล้ว ลอง “Pause” ในช่วงของคำตอบ แล้วฝึกตอบอย่างรวดเร็ว จากคำถามที่เราฟัง ฝึกให้เร็วขึ้นโดยไม่ต้องคิด ภาษาอังกฤษของคุณก็จะกลายเป็นระบบอัตโนมัติไปโดยปริยาย หรือลองฝึกด้วยการหาติวเตอร์ชาวต่างชาติมาช่วยเล่าเรื่องราวสักหนึ่งเรื่อง เริ่มจากง่ายๆ ก่อน เมื่อเล่าจบให้เขาลองถามคำถามเกี่ยวกับเรื่องที่เล่าให้ฟัง จะทำให้คุณคิดคำตอบได้อย่างรวดเร็วนั่นเอง
     
       4. เรียนรู้เป็นภาพ ไม่ใช่ตัวอักษร
     
        ก่อนที่จะพูดภาษาอังกฤษได้ต้องมีการซ้อม การเตรียมความพร้อม ต้องถามตัวเองก่อนว่ามีคลังคำศัพท์มากพอหรือยัง? เหตุผลหนึ่งที่ทำให้เราไม่สามารถสื่อสารหรือพูดภาษาอังกฤษได้นั้นเพราะเราไม่รู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษเลยไม่รู้ว่าจะตอบฝรั่งชาวต่างชาติได้อย่างไร ท่องจำกันตั้งแต่เล็กจนโตก็จำได้บ้างไม่ได้บ้าง ถึงเวลาจริงก็นึกไม่ออกไม่รู้จะหยิบคำไหนมาใช้ ดังนั้น ต่อไปนี้เราต้องมาเรียนรู้และจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษในรูปแบบใหม่ “เลิกท่องศัพท์ ถ้าอยากพูดภาษาอังกฤษได้” เอ๊ะ...ยังไง!!!
     
        ต้องเลิกท่องคำศัพท์เป็นคำๆ ท่อง 1,000 คำ ก็จำไม่ได้เชื่อเถอะ ลองหันมาใช้วิธีการเรียนรู้คำศัพท์เป็นภาพ และเรื่องราวแทนการจดคำศัพท์เป็นลิสต์ยาวๆ พร้อมคำแปล แล้วนั่งท่องนอนท่อง วิธีนั้นลืมไปได้เลย ลองเปลี่ยนมาเป็นการเรียนรู้คำศัพท์แบบเป็นวลี ไม่จำเป็นคำๆ เวลาที่เจอคำศัพท์ใหม่ๆ ให้จดลงในสมุดโน้ต พร้อมกับวลีสั้นๆ จะทำให้การพูดและหลักไวยากรณ์ของคุณดีขึ้นอย่างรวดเร็ว
    5. หยุดท่องหลักไวยากรณ์
     
        เด็กไทยส่วนเริ่มเรียนภาษาอังกฤษมาพร้อมๆ กับการเริ่มท่องกฎไวยากรณ์ “S. + V.to be + V.เติม ing” เป็น Present Continuous Tense ท่องๆ ไปเรื่อยๆ พร้อมกับคำศัพท์รูปกริยาที่เปลี่ยน ช่อง 1, 2, 3 ถ้าเริ่มต้นด้วยวิธีท่องหลักไวยากรณ์แล้ว 60 เปอร์เซนต์ จะคุยกับฝรั่งไม่ได้เลย อีก 30 เปอร์เซนต์ จะแค่พอพูดได้แบบตะกุกตะกัก ซึ่งมีเพียง 10 เปอร์เซนต์เท่านั้น ที่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว สำเนียงเป๊ะ เด็กอเมริกันแท้ๆ ไม่เคยต้องเรียน Grammar จนกระทั่งถึงมัธยม บางคนเพิ่งมาเริ่มเรียน Present Tense ตอนอายุ 15-16 ปีแล้ว ด้วยซ้ำ
     
        ถ้าจะฝึกพูดภาษาอังกฤษให้ได้ต้องหยุดท่องหลักไวยากรณ์ เพราะนั่นเป็นวิธีที่ผิด เด็กๆ ชาวต่างชาติจะพูดภาษาอังกฤษจากการเรียนรู้เองโดยธรรมชาติ จากการฟัง สังเกตและเลียนเสียงพูดจนคล่องก่อนจะเริ่มเรียนหลักไวยากรณ์ เหมือนเด็กไทยที่เรียนรู้และพูดคำว่า “แม่” จากการฟังและฝึกออกเสียง แล้วค่อยมาเรียนรู้วิธีการผสมคำในภายหลังนั่นเอง จริงๆ แล้วก็ใช้หลักในการเรียนรู้ภาษาเหมือนกันทั่วโลก
     
       6. เรียนรู้แบบช้าๆ แต่ลึกซึ้ง
     
        เคล็ดลับที่จะทำให้คุณพูดภาษาอังกฤษได้อย่างง่ายดายนั่นก็คือ การเรียนรู้ทุกคำ และทุกวลีอย่างลึก (Deeply) ไม่ใช่แค่เรียนรู้ความหมาย ไม่ใช่แค่จำเพื่อไปทำข้อสอบ แต่คุณจะต้องเรียนรู้มันอย่างลึกซึ้ง ลึกลงไปในสมอง การพูดภาษาอังกฤษให้ได้ง่ายคุณต้องทำซ้ำหลายๆ ครั้ง ในแต่ละบทเรียน ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณมีหนังสือบทสนทนาภาษาอังกฤษ 1 เล่ม ในบทแรกให้ฟัง 30 ครั้ง ก่อนที่จะผ่านไปบทที่ 2 โดยสามารถแบ่งเป็น 3 ครั้งในแต่ละวัน ให้ทำแบบนี้ไปจนครบ 10 วัน ต่อหนึ่งบท อย่าเพิ่งท้อ ท่องไว้ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม ฟังจนฝังลึกลงไปในสมอง ไม่ง่ายแต่ก็ไม่ยากจนเกินไปขอเพียงตั้งใจจริง
     
       7. อย่าแปลเป็นไทย
     
        สาเหตุที่คนไทยส่วนใหญ่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้แม้ว่าอาจจะฟังออกก็ถาม นั่นก็คือ การแปลประโยคต่างๆ เป็นภาษาไทยก่อนตอบ ซึ่งการพูดได้อย่างเป็นอัตโนมัติคือ ฟัง-คิด-พูด ต้องเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด โดยไม่มีการแปลเป็นไทยในหัว เพราะฉะนั้น เราควรพยายามแปลเป็นไทยให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ระบบที่คนไทยส่วนใหญ่คิดคือ ฟังภาษาอังกฤษเข้าหูปุ๊บมาแปลเป็นไทย คิดคำตอบภาษาไทย แล้วแปลตอบออกไปเป็นภาษาอังกฤษอีกที ซึ่งกว่าจะหลุดคำตอบออกมาได้ต้องผ่านขั้นตอนหลายอย่าง ผลคือพูดออกมาแบบตะกุกตะกัก ไม่ไหลลื่นและเป็นธรรมชาติ วิธีการเรียนภาษาที่ถูกต้องก็คือ ต้องพยายามแปลให้น้อยที่สุดหรือไม่แปลเลยได้ยิ่งดี เน้นความเข้าใจความหมายเป็นภาพของมันจริงๆ
 8. เรียนรู้ที่จะคิดให้เป็นภาษาอังกฤษ
     
        หนึ่งในกุญแจสำคัญที่จะทำให้คุณพูดภาษาอังกฤษได้นั่นก็คือ “การคิดให้เป็นภาษาอังกฤษ” อีกหนึ่งวิธีที่ดีที่สุดที่ในการเรียนรู้ และจะทำให้คุณพูดได้อย่างง่ายดาย ไม่ต้องอายถ้าเกิดความผิดพลาดขึ้นมา เพราะไม่มีใครรู้!!!! โดยคุณสามารถทำตามกระบวนการและขั้นตอนได้ ดังนี้
       
       Level 1 : คิดคำศัพท์ภาษาอังกฤษในแต่ละวันของคุณ
     
       เมื่อคุณตื่นขึ้นมาในตอนเช้าให้คิดคำศัพท์ขึ้นมา 1 ชุด เช่น
     
        bed, toothbrush, bathroom, eat, banana, coffee, clothes, shoes
     
       หรือถ้าคุณกำลังนั่งทำงานอยู่ก็คิดถึงคำศัพท์ขึ้นมาอีก 1 ชุด
     
       car, job, company, desk, computer, paper, pencil, colleague, boss
     
       Level 2 : ลองเอาคำศัพท์มาแต่งให้เป็นประโยค
     
       เมื่อคุณกำลังนั่งกินอาหารกลางวันอยู่ คิด…
     
       • I’m eating a sandwich.
       • My friend is drinking soda.
       • This restaurant is very good.
     
       ขณะที่คุณกำลังนั่งดูทีวีอยู่ คิด…
     
       • That actress is beautiful.
       • The journalist has black hair.
       • He’s talking about politics.
     
       Level 3 : สุดท้ายจินตนาการประโยคภาษาอังกฤษทั้งหมดให้เป็นเรื่องราวขึ้นมาในหัวของคุณ โดยให้คิดเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด เช่นในขณะที่คุณออกกำลังกาย หรือกำลังรอรถไฟฟ้า รถเมล์ ให้ลองนึกบรรยายเหตุการณ์ต่างๆ บอกเล่าเรื่องราวในหัวคุณให้เป็นภาษาอังกฤษ คุณจะรู้สึกผ่อนคลาย เพราะนี่เป็นเพียงความคิด ยังไม่ได้พูดจริงๆ
     
       9. พูดด้วยคำศัพท์ที่แตกต่าง ดูดีมีความคิดสร้างสรรค์
     
        สองอุปสรรคใหญ่ที่ทำให้การพูดภาษาอังกฤษดูไม่คล่องแคล่วมั่นใจ นั่นก็คือ “ไม่รู้ศัพท์ และ การหยุดหรือลังเล” ซึ่งทั้งสองอย่างนี้มักมาพร้อมกันเสมอ หลายครั้งที่คุณพูดภาษาอังกฤษแต่นึกคำศัพท์ไม่ออก นั่นก็เป็นอุปสรรคหนึ่งที่ทำให้เราพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เออๆ อ่าๆ...เพราะมัวแต่คิดถึงคำศัพท์ที่เคยท่องไว้ คราวนี้เราลองมาเปลี่ยนวิธีใหม่ ถ้านึกไม่ออกก็ไม่เป็นไร ลองหาคำอื่นมาอธิบายขยายความเอาก็ได้
     
        ถ้าคุณจะบอกว่า “หัวหอม” ภาษาอังกฤษคือ “onion” แต่นึกคำศัพท์ไม่ออกก็ให้อธิบายไปว่า “the white vegetable that when you cut it you cry” นี่เป็นคำบรรยายที่เข้าใจได้ ว่าสิ่งที่คุณกำลังจะสื่อสารหมายถึงอะไร รวมไปถึงคำศัพท์อื่นๆ ที่จะใช้แทนกันได้ในภาษาอังกฤษ เช่น การกล่าวทักทาย ที่นอกจาก “hello” แล้วมีคำว่าอะไรบ้าง หรือการกล่าวลา วลีของการล่ำลาในภาษาอังกฤษนั้นก็มีมากมายหลายสถานการณ์ด้วยกัน
     
       10. ใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
     
        เปลี่ยนสภาพแวดล้อมของคุณให้เต็มไปด้วยภาษาอังกฤษ ถือเป็นการฝึกฝนไปในตัว แต่ถ้าจะให้ง่ายและรวดเร็วที่สุดนั่นก็คือ “พยายามหาเพื่อนที่เป็นชาวต่างชาติ” นอกจากจะได้เพื่อนแล้ว เรายังได้ฝึกภาษาด้วย ที่สำคัญเพื่อนชาวต่างชาตินี่แหละที่จะช่วยคุณแก้ไขคำผิด ทั้งคำศัพท์ รูปประโยคและหลักไวยากรณ์ต่างๆ ให้คุณได้ พยายามหาเพื่อนฝรั่งคุยแชทบ้าง คุย Skype บ้าง เพื่อเป็นการฝึกภาษาและฟังสำเนียงที่ถูกต้องนั่นเอง
     
        แนะนำให้ใช้ภาษาอังกฤษทุกวันๆ ละ 10 นาที และจะดีมากๆ ถ้าคุณใช้ภาษาอังกฤษมากกว่า 1 ชั่วโมง ต่อสัปดาห์ แม้ว่าคุณจะไม่ได้อยู่ในประเทศที่พูดภาษาอังกฤษ แต่ก็ยังมีวิธีอีกมากมายที่จะทำให้ภาษาอังกฤษมีส่วนร่วมในชีวิตประจำวันของคุณ เช่น ฟังภาษาอังกฤษในขณะที่คุณกำลังขับรถไปทำงาน, อ่านข่าวหรือฟังข่าวออนไลน์เป็นภาษาอังกฤษแทนภาษาไทย, ฝึกการคิดเป็นภาษาอังกฤษในขณะที่คุณกำลังทำงานบ้านหรือออกกำลังกาย, อ่านบทความ ฟังพอดคาสต์ หรือดูวิดีโอภาษาอังกฤษในแบบที่คุณชอบ เป็นต้น

พูดภาษาอังกฤษจากบทสนทนาง่ายๆ ก็พูดเก่งปร๋อได้เหมือนกัน

พูดภาษาอังกฤษควรเริ่มจากตรงไหนดี อยากพูดภาษาอังกฤษเก่งๆต้องทำไง อยากพูดภาษาอังกฤษให้คล่องเหมือนเจ้าของภาษาใช้เวลานานไหม บลาๆๆ


สารพัดคำถามที่พรั่งพรูออกมาจากใจของคนที่อยากพูดภาษาอังกฤษเก่งๆ แต่ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นตรงไหนดี เหมือนกับคนที่อยากจะปีนเขาสูงแต่ยังไม่รู้เลยว่าอุปกรณ์ที่จะปีนมีอะไรบ้าง ต้องใช้เวลาในการฝึกอย่างไรจึงจะพิชิตยอดเขาได้

การฝึกพูดภาษาอังกฤษเริ่มจากตรงไหนดี
เริ่มต้นที่ต้องอ้าปากครับ ครับบอกไม่ผิดหรอกครับ เหตุผลหนึ่งที่คนไทยส่วนใหญ่ยังพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยเก่งคือ ไม่กล้าพูด กลัวว่าพูดแล้วออกเสียงไม่ถูก กลัวเขาหัวเราะเยาะว่าสำเนียงไม่เหมือนเจ้าของภาษา

อยากจะบอกตรงนี้ว่า สำเนียงส่อภาษานั้นเป็นเรื่องจริงอย่างหนึ่งว่าเราเติบโตในดินแดนไหน เราก็จะได้สำเนียงของที่นั้นๆแหละครับ เวลาพูดอังกฤษเราก็ใช้สำเนียงไทยๆนี่แหละ เพียงแต่ออกเสียงให้มันถูกต้องแค่นั้นแหละ และการที่เราพูดผิดบ้างเล็กๆน้อยๆไม่ใช่ประเด็นสำคัญในการสนทนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการสนทนากับเจ้าของภาษา ถ้าเราสามารถสื่อสารให้เขาเข้าใจก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว และถ้ามีประโยคไหนที่เรารู้ว่าเราพูดผิดไปนะ มันก็จะเป็นครูสอนตัวเราเองว่า เออเมื่อกี้พูดผิดไปนี่นา คราต่อไปมันก็จะผิดน้อยลง และจะไม่ผิดเลยในที่สุด ส่วนเจ้าของภาษาเองเขาจะยินดีด้วยซ้ำที่เราสามารถสื่อสารกับเขาได้

อยากพูดภาษาอังกฤษเก่งๆต้องทำไง
ขอตอบว่าต้องฝึกครับ คำถามนี้อย่าว่าแต่การพูดภาษาอังกฤษเลย ทุกเรื่องนั่นแหละ มาดูตรรกะง่ายๆก่อนครับ

ด.ญ. เอ : ฉันอยากเก่ง >> แต่ฉันไม่ฝึก >> ความอยากยังอยู่ แต่ความเก่งความชำนาญไม่เกิด >> สรุปว่ายังอยู่ที่เดิม
ด.ญ. บี : ฉันอยากเก่ง >> ฉันฝึก >> ฉันชำนาญ >> อยากเก่งกว่านี้อีก >> ฝึกต่อ >> ฉันเชี่ยวชาญ >> อยากเก่งกว่านี้อีก >> ฝึกต่อ >> ฉันเป็นปรมาจารย์…..

มีกฎข้อหนึ่งที่ว่า ถ้าคุณฝึกฝนอะไรก็ตามผ่านพ้น 10,000 ชั่วโมงได้ คุณก็จะเชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆ อยากพูดภาษาอังกฤษเก่งๆก็ต้องฝึกสิครับ

วิธีการฝึกพูดก็ไม่ได้ยากอะไร เพียงแค่หาบทสนทนาภาษาอังกฤษฉบับง่ายๆ เน้นว่าฉบับง่ายๆไม่กี่ประโยคต่อหนึ่งสถานการณ์มาอ่าน แล้วก็ฝึกด้วยตัวเองนี่แหละก่อนเป็นเบื่้องต้น ให้เราคนเดียวเป็นทั้งนาย ก และนาย ข เลย เช่น

A: Hell, Jo. How are you today.
B: Fine, thanks. And you?
ฺA: I’m fine. Thank you.

บทสนทนาภาษาอังกฤษสำหรับผู้เรียนรู้เบื้องต้น คลิกที่นี่

เห็นไหมครับ แค่นี้เราก็พูดเป็นแล้ว ในเบื้องต้นก็ขอให้ฝึกแบบเป๊ะๆ ตามตัวอักษรก่อนก็ได้ ถ้าเราเริ่มชำนาญแล้ว เราก็จะดัดแปลงเป็นคำพูดในแบบอื่นๆได้เอง เชื่อสิ เราก็ทำการฝึกอย่างนี้แหละไปเรื่อยๆตามวงจรของ ด.ญ. บี ซึ่งให้ฝึกสนทนาที่เป็นบทนสนทนาในชีวิตประจำวันก่อน เช่น การทักทาย การกล่าวลา การถามชื่อ สกุล อาชีพ อะไรประมาณนี้ เพราะเวลาที่เราเจอกับฝรั่งและได้พูดคุยกัน ก็คุยเรื่องใกล้ๆตัวนี่แหละ ไม่ได้คุยเรื่องดาวอังคารซะที่ไหน

ทีนี้พอเราพูดได้ในหลายๆสถานการณ์ นั่นก็แปลว่าเราสามารถคุยได้หลายเรื่อง ซึ่งจะทำให้การสนทนาของเรายาวนานขึ้้น ไม่ใช่ What’s your name? แล้วก็จบแค่นี้ เพราะพูดได้แค่นี้

กว่าจะพูดได้ต้องใช้เวลาแค่ไหน
ตรงนี้ขอบอกว่าอยากให้ยึดถือความอยากเก่ง ด.ญ. บี เอาไว้ และทันทีที่เราเริ่มฝึกนั่นก็แปลว่าเราเริ่มพูดใด้แล้วสองสามประโยค หมายความว่าเรามีความรู้อยู่แค่นั้น และถ้าเราฝึกไปเรื่อยๆทุกๆวัน เราก็จะสามารถพูดประโยคอื่นๆได้เพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ

ขอสรุปว่า ทันทีที่คุณเริ่มฝึกฝน คุณก็สามารถพูดได้ ณ เวลานั้นเลย คุณๆคงเคยเห็นตำราเขียนว่า พูดอังกฤษ 79 ชั่วโมงบ้าง 100 ชั่วโมงบ้าง นั่นคื่อบทเรียนที่คุณสามารถเรียนรู้ได้ใน 79 ชั่วโมง แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณจะจำได้ทั้งหมดนั่นหรอก แต่หมายความว่าตอนนี้คุณชั่วโมงบินแล้ว 79 ชั่วโมง

ในความเป็นจริง คุณอาจจะใช้เวลาในการเรียนรู้ เพื่อทบทวนบทเรียนเดิมๆ ไม่รู้กี่เท่าของเวลาระบุไว้ในหนังสือกี่เท่าตัวนั้น ขึ้นอยู่กับระดับสติปัญญา และความจำส่วนบุคคลเป็นสำคัญ

ท้ายที่สุดอยากขอย้ำอีกทีว่า ถ้าอยากพูดภาษาอังกฤษได้ต้องอาศัยการเรียนรู้ อยากพูดได้คล่องต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ อย่าเอาเวลามาตัดสินว่าเท่านั้นเท่านี้ชั่วโมง ถ้าภาษาอังกฤษมีความสำคัญต่อชีวิตของคุณ คุณก็ต้องเรียนรู้มันตลอดชีวิตนั่นแหละ

เริ่มต้นเรียนรู้ภาษาอังกฤษด้วยตนเอง

คุณเป็นคนหนึ่งที่ล้มเหลวในการเรียนภาษาอังกฤษใช่หรือไม่?

ถ้าตอบว่าใช่ เราแนะนำให้คุณอ่านบทความนี้ต่อไปจนจบ

บางทีคุณอาจจะค้นพบวิธีที่เรียนแล้วประสบความสำเร็จก็ได้

ขอเพียงแค่เปิดใจรับความคิดเห็นที่แตกต่างแค่นั้นพอ


เราจะไม่ขอพูดถึงการเรียนภาษาอังกฤษในห้องนะคะ

ไม่ว่าจะระดับประถมหรือมัธยม ลืมมันไปได้เลย

เรามานับ “หนึ่ง” ด้วยกัน ไม่ใช่สิ!

เรามาเริ่มจาก “ศูนย์” ด้วยกันเลยดีกว่า



จุดเริ่มต้นในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษของเราเกิดขึ้นเมื่อคิดจะเปลี่ยนงาน

ตำแหน่งที่หมายตาเอาไว้ต้องใช้คะแนน TOEIC 850 คะแนน

(TOEIC ย่อมาจาก Test of English for International Communication

เป็นการทดสอบทักษะการใช้ภาษาอังกฤษสำหรับผู้ใหญ่

ที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก)



เราเริ่มจริงจังกับภาษาอังกฤษ ศึกษาทุกอย่างด้วยตัวเอง

อ่านหนังสือ, เข้าเว็บต่าง ๆ , ดู Youtube ฯลฯ

เวลาผ่านไป 8 เดือน ปรากฏว่าล้มเหลวไม่เป็นท่า

(ความล้มเหลววัดจากผลทดสอบ TOEIC ออนไลน์)



สรุปวิธีที่เรียนแล้วไม่ประสบความสำเร็จ มี 3 ข้อใหญ่ ๆ คือ

1. เรียนอย่างไม่มีความสุข (บังคับตัวเองเรียน)

2. เรียนแบบท่องจำ (ไม่ได้เข้าใจจริง ๆ)

3. เรียนแบบไม่ต่อเนื่อง (ไม่ได้ทำทุกวัน)



ต่อมาเราได้รับคำแนะนำจากเพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่ง

เค้าส่งลิงก์ละครฝรั่งมาให้ดู เพื่อฝึกทักษะการฟัง

มีแปลไทยข้างล่าง อ่านบ้างไม่อ่านบ้าง ตอนแรกดูไม่รู้เรื่องเลย

จุดสำคัญคือตอนจบ มีฉากที่ทำให้เราชอบตัวละครตัวหนึ่งขึ้นมา

และเริ่มศึกษาทุก ๆ อย่างเกี่ยวกับตัวละครตัวนั้น

แน่นอนว่า…ไม่มีภาษาไทยเลยแม้แต่คำเดียว!!!



แต่รู้อะไรมั้ย? เมื่อเราหลงใหลอะไรมาก ๆ เราจะมองไม่เห็นอุปสรรค

และไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีเวลาให้มัน

ตรงข้าม เราจะแบ่งเวลาให้มันมากเกินไป!!!

แถมไม่รู้สึกผิดอีกด้วย เพราะเราจะบอกตัวเองว่า

“ฉันกำลังฝึกภาษาอังกฤษอยู่นะ! เรื่องอื่นไว้ทีหลัง!”



และแล้ว…เราก็ค้นพบว่าการเรียนที่ประสบความสำเร็จก็คือ

“การเรียนรู้อย่างมีความสุขนั่นเอง!!!”

(ความจริงแล้วมันเป็นกุญแจดอดสำคัญที่จะทำให้

เราประสบความสำเร็จในทุก ๆ เรื่องที่ศึกษาอยู่)



ทักษะการฟัง พูด อ่าน และเขียนถูกพัฒนาขึ้นมาตามลำดับ

แน่นอนว่า การที่เราล้มเหลวมาหลายเดือน

เราก็ได้ค้นพบวิธีการเรียนที่ไม่ได้ผลมากมาย

ที่ถูกเขียนและแบ่งปันเอาไว้ตามเว็บไซต์ต่าง ๆ

(ถ้ามีโอกาสเราจะพูดถึงมันอีกครั้ง)



การฝึกทักษะต่าง ๆ เรียงตามการ ฟัง พูด อ่าน และเขียน

เป็นขั้นตอนการฝึกที่เป็นธรรมชาติที่สุดแล้ว

ปัญหาด้าน Grammar (ไวยากรณ์)

ไม่เคยเกิดขึ้นเลยในตอนฝึกฟัง และตอนฝึกพูด



แต่พอเริ่มอ่าน เราจะเห็นความแตกต่างของคำต่าง ๆ

เมื่อเริ่มเขียน เราจะเริ่มคิดถึงความถูกต้อง



ถ้ารู้สึกสงสัยขึ้นมาเมื่อไหร่ นั่นคือโอกาสดีที่สุดแล้ว

เพราะมันจะทำให้เราหาคำตอบด้วยการเรียนรู้

และซึมซับ Grammar ไปโดยไม่รู้ตัว

เราจะไม่คิดว่า Grammar เป็นเรื่องยาก ตรงข้าม!

มันเป็นเหตุเป็นผล และทำให้เราเข้าใจอะไรมากขึ้น



ไม่มีความสำเร็จได้เกิดขึ้นได้โดยไร้ความพยายาม

แต่ความพยายามที่ไร้ทิศทางจะทำให้เราเดินทางได้ช้าลง



วัตถุประสงค์เดียวที่เราต้องการแบ่งปันประสบการณ์เหล่านี้

เพราะไม่อยากให้ใครต้องเสียเวลาไปมากมายหลายเดือน

อย่างที่เราได้เคยเสียไปแล้ว…



ในหัวข้อต่อไปเราจะมาทำความรู้จักกับ Grammar กันนะคะ

แล้วพบกันค่ะ ^^

5 เทคนิคลับฝึกภาษาอังกฤษ : ให้พูดเก่งขั้นเทพ!


1. เริ่มต้นจากการฟัง!
ถ้าคุณอยากพูดภาษาอังกฤษได้ คุณต้องเริ่มต้นจากการฟัง!
.
ฟัง ฟัง ฟังแล้วก็ฟัง!
.
หัวใจสำคัญ 2 ข้อก็คือ คุณต้องเลือกฟังสื่อที่ไม่ยากเกินไปสำหรับคุณ (รู้ศัพท์ในสื่อนั้นๆมากกว่า 80%)
.
และข้อที่ 2 คือคุณต้องฟังทุกวัน! อย่างมีวินัยและตั้งใจ วันละ 1 ชั่วโมงขึ้นไป (แบ่งได้ เช้า 20 นาที เที่ยง 20นาที และเย็นอีก 20 นาที เวลารถติดก็ฟังได้)
.
เรากล้าท้าเลย ถ้าคุณฟังภาษาอังกฤษทุกวัน 1 เดือนผ่านไปคุณจะแปลกใจตัวเอง ว่าทำไมเราเก่งภาษาอังกฤษขึ้นขนาดนี้
.
แต่ถ้าคุณฟังภาษาอังกฤษทุกวันตลอด 1 ปี คุณจะจำตัวเองวันนี้ไม่ได้เลย!!

2. เรียนรู้เป็นภาพ ไม่ใช่ตัวอักษร!
เลิกท่องศัพท์(แบบเดิมๆ)ได้แล้ว
.
หยุดการท่องศัพท์แบบเป็นลิสต์ยาวๆที่เราต้องมาแปลเป็นไทย หันมาใช้วิธีเรียนรู้ศัพท์แบบเป็นภาพ เป็นเรื่องราวแทน
.
ใครยังท่องศัพท์แบบเดิมๆ ไม่มีทางพูดอังกฤษได้คล่อง พูดเลย!

3. หยุดท่องกฏแกรมม่าร์ซะ!
ใครยังนั่งท่อง S+V to be+V ing+ …+ …+ ….ไปเรื่อยๆ หรือยังท่องกริยา 3 ช่อง ท่องกฏไวยากรณ์ต่างๆ
.
ถ้าท่องไปสอบ ท่องไว้เขียน Writing เขียน Essay ต่างๆ นี่โอเค
.
แต่ถ้าท่องไว้ใช้พูด คุณเข้าใจผิดแล้ว!!!
.
ไม่มีใครพูด คล่องเพราะท่องกฏแกรมม่าร์หรอก บอกเลย!

4. อย่าแปลเป็นไทย!
อยากพูดอังกฤษให้คล่อง ต้องพูดได้อย่างเป็นอัตโนมัติ
.
การพูดได้อย่างเป็นอัตโนมัติคือ ฟัง-คิด-พูด ต้องเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด โดยไม่มีการแปลเป็นไทยในหัว
.
เพราะฉะนั้น เราควรพยายามแปลเป็นไทยให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
.
สาเหตุที่เราพูดภาษาอังกฤษแล้วตะกุกตะกัก ไม่ไหลลื่น ไม่เป็นธรรมชาติ เพราะเรามักต้องนึกศัพท์
.
และที่เราต้องนึกศัพท์ เพราะเราคิดเป็นภาษาไทยในหัวก่อนเนี่ยแหละ ถึงต้องแปลกลับมาเป็นภาษาอังกฤษ จึงต้องนึกศัพท์
.
เมื่อไหร่ก็ตามที่คิดเป็นภาษาอังกฤษได้ ก็จะไม่ต้องนึกศัพท์ (แน่สิ คิดเป็นภาษาอังกฤษแล้ว จะนึกศัพท์ภาษาอังกฤษทำไม?)
.
เมื่อนั้น เราจะพูดอังกฤษได้โคตรคล่อง!

5. เปลี่ยนสภาพแวดล้อมให้เหมือนอยู่เมืองนอก
พยายามเปลี่ยนสภาพแวดล้อมทุกอย่างในชีวิตประจำวันให้เป็นภาษาอังกฤษให้ได้มากที่สุด

รักต้องแก้แค้น เอา 5 ปีของฉันคืนมา

เมื่อก่อนรู้จักกันมาได้ 1 ปีเราสองคนตกลงเป็นแฟนกัน เขาบอกกับเราว่า -คุณเป็นผู้หญิงที่สวยและน่ารักที่สุดที่ผมเคยเจอ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน ผมก็รู้ว่าคุณต้องเป็นเนื้อคู่ของผมแน่ๆ

เราก็ปลื้มใจมากที่ได้มีแฟนเป็นคนที่ทั้งหล่อทั้งเก่ง เวลายิ่งผ่านไปความรักที่มีให้เขาก็ยิ่งทวีคูณ รักเขาไปหมดทั้งหัวใจ ปกติเราก็เป็นคนที่แสดงความรู้สึกไม่ค่อยเก่ง ถึงแม้รักเขามากเท่าไรแต่ก็ไม่กล้าบอกเขาเลย เราเชื่อว่าเขาก็จะรู้ความรักและความหวังที่เรามอบให้กับเขา ไม่รู้ว่าเวลารักใครมันเป็นยังไง แต่เราคิดถึงเขา ฝันถึงเขาทุกคืนเลย วันๆเราก็อยากรู้ว่าเขาทำอะไรหรืออยู่ที่ไหน แล้วตอนนี้คิดถึงเราหรือเปล่า เราเชื่อว่าเราสองคนจะไปด้วยกันได้ไกล และก็สาบานว่าชาตินี้จะรักเขาเพียงคนเดียว เวลาเขาตกที่นั่งลำบาก เช่นตกงาน เราก็อยู่ด้วยกัน ช่วงเวลาที่ลำบากที่สุดเราเป็นคนที่ให้เขามาพักที่บ้านกับเรา เราก็คิดว่าชีวิตนี้คงขาดเขาไม่ได้ แต่ใจนึงก็กลัว กลัวว่าสักวันหนึ่งเขาจะทิ้งเรา เราต้องทำยังไง?? ไม่กล้านึกถึงเรื่องนี้อีก คิดว่าแฟนเป็นคนไม่ดีแบบช่วยไม่ได้ นิสัยไม่ดีเลย ช่วงหลังๆ งานเขาดีขึ้น แต่ไม่ค่อยมีเวลาเลย ไม่ค่อยมาหาเราด้วย แต่ก็ไม่กล้าสงสัย ไม่กล้าคิดว่าใจเขาเปลี่ยน พยายามทำทุกอย่างให้เขามีความสุข และเชื่อว่าเราเป็นแฟนที่ดีและเหมาะสมกับเขา ได้เลื่อนตำแหน่ง เลื่อนเงินเดือน เขาก็เลยซื้อคอนโด แต่เสียใจที่เขาไม่ชวนเรามาอยู่ด้วย ถึงแม้ว่าเมื่อก่อนจะเคยอยู่ด้วยกัน แต่เขาก็ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องขอแต่งงานเลย ถามเขาทีไรก็มักจะหาเหตุผล หาข้ออ้างตลอด เกือบ 5 ปีที่ผ่านไป เรารู้สึกว่า เขาไม่รักเราแล้ว เพราะว่ามีครั้งหนึ่งเขาใช้มือถือเราเล่นเฟสแต่ลืมไม่ออกจากระบบ เราก็เลยเข้าอ่านกล่องข้อความของเขา ก็เห็นมีบทสนทนากับสาวคนหนึ่ง เขาคุยกันแบบหวานๆ ยังไม่หมด เขายังบอกเราว่าเป็นผู้หญิงที่เกาะเขากิน รักเราเพราะสงสารเรา เขายังบอกกับผู้หญิงคนนั้นว่าเดือนหน้าจะพาไปที่บ้านและขอเธอแต่งงาน เจ็บมาก หน้ามันชาและจุกไปหมดเลย เราไม่เคยคิดว่าคนที่เรารักจะสามารถทำให้เราเจ็บได้ขนาดนี้ รักมากก็เลยเจ็บมาก ความรักทำให้เราตาบอด ร้องไห้เหมือนฝนตก ร้องไห้เพื่อสบายใจมากขึ้น และต้องลุกขึ้นสู้ต่อ เราทิ้งเขา ออกจากชีวิตเขาโดยไม่พูดสักคำ ย้ายที่พัก เปลี่ยนเบอร์มือถือเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่...ก็อยากสึบแฟนเขาคือใคร หลังจากหลายวันที่ค้นหาข้อมูลของเขา ก็รู้ว่าเขาเป็นลูกหนูของครอบครัวรวย พี่ชายเขาเป็นเจ้าของบริษัทและยังไม่มีแฟน เราตัดสินใจจะแก้แค้น…. ขั้นตอนที่ 1: ร่วมงานบริษัทของพี่ชายเขา ขั้นตอนที่ 2: จะทำให้พี่ชายเขาหลงเสน่ห์ และต้องแต่งงานกับเขาให้ได้ ขั้นตอนที่ 3: จะให้แฟนเก่าตาสว่างและต้องเจ็บที่กล้าทิ้งเรา เขาจะเลือกผู้หญิงคนนั้นอีกไหม จะกลับมาอยู่กับเราไหม เราก็เริ่มเปลี่ยนการแต่งตัว แต่งหน้าให้ดูดีขึ้น แต่ถ้าอยากเข้าบริษัทแห่งนั้นก็ต้องได้ภาษา ภาษาของเราก็ได้แค่สองคำเบื้องตนเท่านั้น เราก็เลยหันมาเรียนอังกฤษอย่างจริงจัง เรียนทั้งวันทั้งคืน พอเรียนได้ 2 เดือนก็ยังเห็นความพัฒนาเลย ตอนนั้นผิดหวังมากๆ เข้าร่วมสัมมนาเกี่ยวกับการศึกษาของ Edtech Asia Summit ที่กรุงเทพ มีโปรแกรมสอนภาษาอังกฤษออนไลน์ที่ได้นำเข้าจากมหาลัย Harvard ของอเมริกา โปรแกรมนี้ทำให้เราประทับใจมาก กลับถึงบ้านก็หาคอร์สเรียนเหมือนของเขา เรียนกับอาจารย์เจ้าของภาษาทางอินเตอร์เน็ต ก็มีหลายโปรแกรมแบบนั้นที่ไทย แต่เราเลือกของ Topica Native พยายามฝึกภาษากับอาจารย์เจ้าของภาษาที่มาจากยุโรป ออสเตรเลีย และอเมริกา เรียนได้ 6 เดือนภาษาของเราก็ดีขึ้นอย่างชัดเจน สามารถพูดได้อย่างชัดเจน พูดได้คล่องแคลว แล้วไปสมัครตำแหน่งเลขาของเจ้าของบริษัทนั้น-พี่ชายแฟนเก่าเรา หน้าตาก็ดูดี ภาษาอังกฤษดี มีประสบณ์เยอะแยะ แล้วเราก็ได้รับเข้าทำงาน พอทำงานมาได้ 3 เดือน เราก็ได้โอกาสไปทำธุระที่พัทยากับเจ้าของบริษัท วันนั้นเราก็แต่งตัวแบบเซ็กซี่ อะไรมาก็มา เขาก็หลงรักเราแล้ว คืนนั้นเราและเขาคุยกันเยอะมาก คบกันได้ช่วงหนึ่ง เขาพาเราไปพบพ่อแม่ วันนั้นผู้หญิงคนนั้นก็พาแฟนเก่าเรากลับบ้านเขา คุณแฟนเก่าก็ตาโต ตัวสั่นเมื่อเห็นเราอยู่ที่บ้านแฟนเขา สวยกว่าเมื่อก่อน 10 เท่า เปลี่ยนแปลงจนเขาแทบจำไม่ได้ พอเห็นเราเรียกเขาว่า ‘พี่’ แฟนเขาก็ตกใจ ว่าทำไมเราสองคนถึงรู้จักกัน เมื่อกินข้าวเราก็พยายามคุยแบบสนุกสนานกับทุกคน ส่วนแฟนเก่าเราก็นั่งนิ่งๆ ไม่กล้าพูดสักคำ ก็รู้ว่าทำแบบนี้เราก็เสียใจ แต่ยังไงเราก็ต้องแก้แค้นให้ได้ จะทำให้เขาเจ็บ ทำให้เขาอับอายที่เคยทิ้งผู้หญิงคนที่รักเขามากเหมือนเรา เขามีคนใหม่ เราก็มีคนใหม่ มาอยู่ในบ้านหลังเดียวกันแต่ไม่ใช่แฟนกัน ทุกคนอย่าว่าเรานะ By the way เราก็อยากแนะนำให้ทุกคนรู้จักโปรแกรมเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ของ Topica Native มีอาจารย์เจ้าของภาษา 100% และผู้เรียนกว่า 30,000 คน